ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

24 กรกฎาคม 2554

รายงาน: เสียงจากคนจน กลางดงยูคาฯ


เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีสำหรับการเข้าปักหลักตั้งถิ่นฐานในที่ดินเดิมของชาว “ชุมชนบ่อแก้ว” ด้วยความคิดที่ว่า “โฉนดชุมชน” เป็นทางออกของปัญหาที่ทำกิน และหลักประกันเพื่อสร้างความมั่นคงในที่ดินของเกษตรกร เมื่อที่ดินไม่ใช่สินค้า แต่เป็นฐานความมั่นคงของชีวิต
 
 
(1)

“โฉนดชุมชน” คือความมั่นคง ไม่ใช่สินค้า
 
ผ่านไป 2 ปี กับการทำหน้าที่เผยแพร่แนวคิดและกระบวนการปฏิรูปที่ดินโดยประชาชนของชุมชนบ่อแก้ว และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ณ วันนี้ การบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบ “โฉนดชุมชน” ยังเป็นแนวทางที่พวกเขาเชื่อมั่นร่วมกันว่า จะสามารถนำไปสู่การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
 
ครบรอบ 2 ปี สำหรับการเข้าปักหลักตั้งถิ่นฐานในที่ดินเดิมของชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ หลังจากที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้หรือ อ.อ.ป.ได้ผลักดันชาวบ้านให้ออกจากพื้นที่เพื่อให้เข้ามาปลูกสวนป่ายูคาลิปตัสนานกว่า 30 ปี การได้กลับมาเหยียบผืนดินของบรรพบุรุษอีกครั้ง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่การถูกดำเนินคดีรายวัน ทำให้ชีวิตของคนที่นี่ยังถูกแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน
 
 
อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน มองว่า แนวคิดโฉนดชุมชนเป็นความพยายามในการป้องกันไม่ให้ที่ดินเป็นสินค้าในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมากเกินไป ซึ่งเอาสิทธิรวมหมู่ สิทธิของชุมชนมาเป็นตัวป้องกันไว้ ให้ที่ดินเป็นสิทธิของชุมชนโดยรวม แล้วถ้าจะเปลี่ยนมือก็เปลี่ยนมือกันในชุมชน อันนี้จะทำให้เกิดความมั่นคงในการดำรงอยู่และสืบทอดวิถีการทำมาหากินของชุมชน
 
นอกจากร่วมกันพลิกฟื้นแผ่นดินเดิมด้วยการเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมแล้ว การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชของชุมชนบ่อแก้ว ถือเป็นประจักษ์พยานในการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อเลี้ยงชีพ เพราะนั่นคือวิถีชีวิตที่มั่นคงของชุมชน โดยไม่ได้มองที่ดินเป็นสินค้าเหมือนที่รัฐเข้าใจ
 
หนูเกณ จันทาสี เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน บอกว่า การจัดการที่ดินโดยประชาชนหรือการจัดการที่ดินแบบรวมหมู่เป็นวิธีการที่จะสามารถให้เกษตรกรรักษาที่ดินไว้ได้ ประชาธิปไตยจริงๆ อยู่ที่จิตสำนึกของคน โดยเอาความชอบธรรมมาเป็นตัวหลัก บางครั้งสิ่งที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่มีความชอบธรรมในการดำเนินงาน เช่น การประกาศเขตป่าไปทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน 
 
อุบล อยู่หว้า สรุปท้ายว่า ปัญหาของประเทศไทยเราคือ ประชาชนคนเล็กคนน้อยไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในชีวิตของตนเอง ในแผ่นดินเจ้าของ ในพื้นที่ตัวเอง อันนี้คืออำนาจอธิปไตยจริงๆ เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ดินเป็นปัญหาที่ประชาชนยอมไม่ได้ เพราะว่ามันหมายถึงความมั่นคงของชีวิต มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่คนจะมีพื้นที่สำหรับการเป็นเรือนตายของชีวิต เป็นที่ฝังสายรก เป็นที่ทำมาหากิน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องถูกน้อมรับ
 
แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปที่ดินด้วยการกระจายการถือครอง ทั้งในรูปแบบการให้เปล่า และให้เช่า หรือการออกเอกสารสิทธิแบบปัจเจกอย่าง สปก.แต่บทเรียนที่ผ่านมาพบว่า เกษตรกรไม่สามารถรักษาที่ดินไว้ได้ ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนมือเป็นของนายทุน
 
แนวคิด “โฉนดชุมชน” จึงน่าจะเป็นหลักประกัน และเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหาที่ดิน เพื่อการกระจายการถือครองอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน บนฐานคิดที่ว่า ที่ดินไม่ใช่สินค้า แต่เป็นฐานความมั่นคงของชีวิต 
 
 

(2)

ชุมชนบ่อแก้ว เหยื่อ! กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ซ้ำซาก
 
“ทุกข์บ่มีเสื้อผ้า ฝาเฮือนดีพอลี้อยู่ ทุกข์บ่มีข้าวอยู่ท้อง นอนลี้อยู่บ่เป็น” ถ้อยผญาภาษาอีสานของพ่อนิด ต่อทุน ประธานชุมชนบ่อแก้ว หลังการกล่าวต้อนรับเครือข่ายเพื่อนมิตรที่มาร่วมงานครบรอบ 2 ปี ชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ บรรยากาศงานวันนี้น่าจะเป็นงานรื่นเริง เฉลิมฉลองการตั้งหมู่บ้าน การพบปะมวลมิตร แต่สีหน้า แววตาความปลื้มปีติของพ่อนิดและผู้คนที่นี่ได้ถูกถมทับด้วยกฎหมายที่อยู่เหนือหยาดเหงื่อแรงงานของคนจนมากว่า 30 ปีแล้ว 
 
พ่อนิด บอกว่า 32 ปีก่อน ที่ดินผืนนี้เคยเป็นที่ทำมาหากินของชาวบ้าน เลี้ยงสัตว์และทำประโยชน์อื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง หลังนโยบายเปิดป่าให้มีการสัมปทานป่าไม้ธรรมชาติ ทำให้ป่าหมดลงเรื่อยๆ ปี 2521 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ อ.อ.ป.ได้เข้ามาขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ อ้างการฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่า โดยการเข้ามาปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส ทั้งที่พื้นที่นี้ไม่อยู่ในเงื่อนไขหรือพื้นที่สัมปทานป่าแต่อย่างใด ที่สำคัญชาวบ้านมีหลักฐานการถือครอง ทำประโยชน์ในที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย แต่สุดท้ายชาวบ้านก็ต้องออกจากพื้นที่ทำกินของตนเอง เพราะ อ.อ.ป.ใช้วิธีการข่มขู่ ใส่ร้ายป้ายสี รวมทั้งใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งชาวบ้านสารพัด
 
 
หากมองในแง่ของสิทธิมนุษยชน การขับไล่ชาวบ้านบ่อแก้วออกจากบ้านและที่ดินของตนเอง เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในเรื่องที่อยู่อาศัย การงาน และอาหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 อ.อ.ป.ละเมิดสิทธิชุมชนในด้านความมั่งคงในการถือครองที่ดิน สิทธิในด้านการเลือกงานอย่างอิสระ สิทธิในการได้รับอาหารที่พอเพียง และสิทธิในการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
 
จากการดำเนินการปลูกสร้างสวนป่า ทำให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อชาวบ้านทั้งเจ้าของที่ดินเดิม และชาวบ้านที่เป็นครอบครัวขยาย เป็นบุตร เขย สะใภ้ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านที่เป็นสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ ที่เคยได้รับสัญญาว่าจะดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการแก้ไขหรือจัดสรรที่ดินให้ทำกินแม้แต่แปลงเดียว
 
แม้ต้องออกจากที่ดินที่บุกเบิกมาด้วยหยาดเหงื่อ แต่ชาวบ้านที่เดือนร้อนก็ไม่ยอมจำนน ชาวบ้านเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกสวนป่าคอนสารโดยเด็ดขาด ให้ออกเอกสารสิทธิ์แก่คนที่เดือดร้อน และเสนอให้พื้นที่ป่าที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ ยังไม่มีการเข้าทำประโยชน์ ก็ให้เป็นสิทธิของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ในรูปแบบของ “ป่าชุมชน” แต่เสียงเล็กๆ ของคนจนก็ยังคงถูกปฏิเสธ เมินเฉยเรื่อยมา
 
วันที่ 17 กรกฎาคม 2552 ชาวบ้านที่สูญเสียที่ดิน 169 ครอบครัว ได้เข้าปักหลักตั้งบ้านในที่ดินที่เป็นข้อพิพาท พร้อมๆ กับชาวบ้านที่เดือนร้อนอีกหลายพื้นที่ใน อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ การได้เข้ามาเหยียบบนผืนดินเดิมของบรรพบุรุษครั้งนี้ พวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับการข่มขู่และเผชิญหน้า แต่พวกเขาก็ยืนยันที่จะเลือกแนวทางนี้
 
กระท่อมไม้ถูกสร้างขึ้นแทรกแซมระหว่างต้นยูคาลิปตัส เรียงรายสองข้างถนนลูกรังกลางหมู่บ้าน ธงเขียวสัญลักษณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจนสะบัดปลิวลู่ตามแรงลม ศาลาบ้านดินที่สร้างขึ้นจากอิฐทีละก้อนด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนจน เป็นที่ที่พวกเขามาพบปะพูดคุยกัน ถัดไปอีกด้านเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ที่รวมเมล็ดพันธุ์พืช ผัก สมุนไพรพื้นบ้านกว่า 100 ชนิด เพราะพวกเขาเชื่อว่า นี่คือความมั่นคงของชีวิต นอกจากการมีที่ดินแล้ว การมีเมล็ดพืชพันธุ์เป็นของตนเอง คืออธิปไตยที่แท้จริงของคนบ่อแก้ว
 
เสียงบริเวณเวทีกลางจบลง แต่หลายคนก็จัดวงย่อยกันอัตโนมัติ ต่างแลกเปลี่ยนบทเรียน สถานการณ์ในชุมชนของตนเอง บ้างก็ทยอยออกมาเลือกดูผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนแห่งนี้ บ้างก็ขอเมล็ดพันธุ์พืช ผักติดไม้ติดมือไปลองปลูกที่บ้าน การมีเครือข่าย เพื่อนมิตร มาเยี่ยมเยียน ทำให้พ่อนิดและเพื่อนบ้านมีกำลังขึ้นมาไม่น้อย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้พ่อนิดรู้สึกว่า ชีวิตยังอยู่บนความไม่แน่นอน
 
2 ปีมานี้ชาวบ้านบ่อแก้วและพื้นที่อื่นๆ ใน อ.คอนสารถูกข่มขู่รุกราน ปะทะกันด้วยวาจารุนแรงกับหน่วยงานรัฐนับครั้งไม่ถ้วน ถูกยัดเยียดคดีความ 24 คดี รวม 98 ราย ทั้งคดีอาญาและฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง
 
“เฮาบ่ได้บุกรุกสวนป่า เฮาเพียงต้องการเรียกร้องสิทธิความเป็นมนุษย์ที่ถูกละเมิด เฮาบ่ได้ทำการเกษตรเพื่อค้าขาย แต่เฮาทำการเกษตรเพื่อยังชีพ ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก ถึงที่ดินจะมีน้อย ดินไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อน แต่เราก็จะใช้ที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” พ่อปุ่น พงษ์สุวรรณ ชาวบ้านบ่อแก้ว บอกกล่าว
 
เช่นเดียวกับพ่อเสี่ยน เทียมเวียง ที่เชื่อมั่นว่า แกและเพื่อนบ้านไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เป็นการต่อสู้บนผืนดินของตัวเอง เป็นที่ดินที่มีประวัติศาสตร์ในการทำมาหากินสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว
 
 
ปัจจุบัน ชาวบ้านบ่อแก้วผลักดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน โดยดำเนินการในรูปแบบ “โฉนดชุมชน” ซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่ดินร่วมกันของชุมชน และเป็นมาตรการสำคัญในการสร้างความมั่นคงในที่ดินของเกษตรกร
 
การที่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความล้มเหลวของนโยบายรัฐที่ต้องการเพิ่มพื้นที่ป่า โดยไม่คำนึงถึงสิทธิชุมชน กฎหมายที่อยุติธรรม ทำให้พ่อนิด ชาวบ้านบ่อแก้วและคนจนไร้ที่ดินทำกินทั่วประเทศเจ็บช้ำซ้ำซาก ถึงเวลาหรือยังที่สังคมไทย กลไกรัฐจะเปิดใจ แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
 
อย่าให้ใคร? ต้องตกเป็นเหยื่อ! ซ้ำซากอีกเลย
 
หมายเหตุ: รายงานชิ้นนี้เป็นการนำงานเขียน “เสียงจากคนจน กลางดงยูคาฯ” ตอนที่ 1  และ ตอนที่ 2  มารวมไว้เป็นชิ้นเดียว

22 กรกฎาคม 2554

นักศึกษาประท้วงคณบดีศึกษาศาสตร์ ม.เชียงใหม่

นักศึกษา-อาจารย์ชุมนุมแห่โลงศพประท้วงคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ เหตุคณบดีเตรียมยุบ 10 สาขาวิชาในคณะ ด้านรองอธิการบดีฯ จะนำเรื่องเข้าสภามหาวิทยาลัยเสาร์นี้

ช่วงบ่ายวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 200 คน รวมตัวกันที่อาคารกิจกรรมคณะศึกษาศาสตร์แล้วเดินขบวนแห่โลงศพ และถือพวงหรีดของสาขาวิชาต่างๆ ในคณะศึกษาศาสตร์ มาที่ตึกคณบดี มีการอ่านแถลงการณ์ และมีตัวแทนอาจารย์ และตัวแทนนักศึกษากล่าวเรียกร้องให้ รศ.ดร.นิ่มอนงค์ งามประภาสม คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ลาออกภายในวันที่ 22 ก.ค. จากนั้นจากนั้นก็เคลื่อนย้ายขบวนแห่ศพไปวนหอนาฬิกามหาวิทยาลัยเชียงใหม่สามรอบ
นักศึกษาที่ร่วมการประท้วงกล่าวว่า สาเหตุที่มีการชุมนุมเกิดจาก คณบดีจะสั่งยุบสาขาวิชาในคณะศึกษาศาสตร์จากเดิมที่มีอยู่ 15 สาขาวิชาจะยุบเหลือ 5 สาขาวิชา โดยจะปิดบางสาขาวิชา ได้แก่ สาขาวิชาภาษาไทย อังกฤษ ศิลปะ ฝรั่งเศส คหกรรม เป็นต้น เพื่อให้ผ่านระบบเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการศึกษา โดยมีนักศึกษาเสียใจที่สาขาของตนจะถูกยุบ บางสาขาวิชาจึงถามคณบดีให้ชี้แจง โดยคณบดีให้เหตุผลว่าเพื่อให้บุคลากรครูอาจารย์มีเพียงพอต่อนักศึกษาปริญญาตรี แต่นักศึกษาก็ยังไม่พอใจเหตุผลของคณบดี
แหล่งข่าวในคณะศึกษาศาสตร์ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ทางสภามหาวิทยาลัยรับทราบเรื่องในคณะศึกษาศาสตร์แล้ว และแต่งตั้งคณะกรรมการมาดำเนินการ โดยจะประเมินผลจนถึงปลายเดือนตุลาคม ขณะที่ฝ่ายต่อต้านคณบดีเห็นว่าปลายเดือนตุลาคมเป็นเวลานานเกินไป ควรชุมนุมเพื่อให้คณบดียุติบทบาท
ทั้งนี้ นพ.ศุภชัย เชื้อรัตนพงษ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมารับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มอาจารย์และนักศึกษา ได้ยืนยันว่าจะตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยจะนำเข้าที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยเป็นวาระเร่งด่วนในวันเสาร์ 23 ก.ค.
__________________________________________________________________________________

มช. ถอดคณบดีศึกษาศาสตร์ ด้านอาจารย์ราชภัฎราชนครินทร์บุกสภาฯ ยื่นหนังสือขอปลดคณบดี

มติสภา "มช." ตัดสินใจถอดถอน "คณบดีศึกษาศาสตร์" ชี้บกพร่องต่อหน้าที่-หย่อนความสามารถ ด้านราชภัฎราชนครินทร์วุ่น หลังกลุ่มคณาจารย์บุกสภาฯ ยื่นหนังสือขอปลดคณบดี
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 กรกฎาคม สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) นำโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะนายกสภาฯ ศ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ศ.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดี มช.และคณะจำนวน 22 คน ร่วมประชุมที่ห้องประชุมตะวัน กังวานพงศ์ ชั้น 4 อาคารสำนักงานอธิการบดี โดยมีการหยิบกรณีเร่งด่วน เรื่องการรวมตัวของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ประท้วงขับไล่ รศ.นิ่มอนงค์ งามประภาสม คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มช. เข้าสู่ที่ประชุมเป็นวาระสุดท้าย
ที่ประชุมใช้เวลาในการพิจารณานานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนมีการลงคะแนนเสียงในทางลับด้วยมติเสียงข้างมาก ให้ถอดถอนคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ออกจากตำแหน่ง หลังพิจารณาว่าบกพร่องต่อหน้าที่และหย่อนความสามารถ ตามข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ข้อ 13 และให้แต่งตั้งรองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการ ไปดูแลตำแหน่งแทน
ต่อมาเวลา 13.20 น. อธิการบดี มช.พร้อมผู้บริหารได้ลงมาชี้แจงผลการประชุมต่อกลุ่มคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ทั้งที่อยู่ระหว่างศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท และศิษย์เก่า ที่สวมชุดดำและติดปลอกแขวนไว้ทุกข์ จำนวน 200 คน ที่เคลื่อนขบวนอย่างสงบจากศาลาอ่างแก้ว มารออยู่ที่หน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี ว่า สภาฯมีมติถอดถอน รศ.นิ่มอนงค์ ออกจากตำแหน่ง หลังพิจารณาเรื่องการบริหารงานวิชาการ การให้การศึกษาของนักศึกษา และการกำหนดหลักสูตรในปีการศึกษา 2555 ที่ต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ หรือทีโอเอฟ พิจารณาผลเสียและผลกระทบต่อคณะที่ต้องผลิตครูออกไป ทั้งนี้ สภาฯได้มอบให้อธิการบดีแต่งตั้งผู้ที่ไปรับผิดชอบดูแลคณะศึกษาเรื่องพัฒนา วิชาการในระหว่างนี้ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเบื้องต้นจะมอบให้ ผศ.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ คาดวันจันทร์นี้ (25 กรกฎาคม) คงดำเนินการ
ด้าน ผศ.พงษ์ศักดิ์ แป้นแก้ว ตัวแทนคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา กล่าวว่า พอใจกับมติที่ประชุมสภาฯมาก และรู้สึกขอบพระคุณที่ทบทวนมติ และขอสัญญาว่า จะร่วมมือกันพัฒนาคณะศึกษาศาสตร์ตามเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่น เพื่อความก้าวหน้าของคณะที่ต้องผลิตครูออกไปรับใช้ประเทศชาติ ขณะที่ทางกลุ่มนักศึกษาที่มารอฟังผลต่างส่งเสียงแสดงความดีใจที่ผลที่ประชุมออกมาในแนวทางที่ต้องการ
ราชภัฎแปดริ้ววุ่น หลังกลุ่มคณาจารย์บุกสภาฯ ยื่นหนังสือขอปลดคณบดี
จากกรณีที่คณาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการจัดการ จำนวน 15 คน ได้แต่งชุดดำประท้วง การบริหารงานภายในสาขาภาควิชา ของ ผศ.ดร.พรพิมล วิริยะกุลย์ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัด.ฉะเชิงเทรา โดยอ้างว่า หลังจากที่คณบดีคนดังกล่าวได้เข้ามานั่งบริหารงานเป็นเวลา 9 เดือน ได้สร้างปัญหาให้แก่สาขาวิชา และคณาจารย์ประจำภาควิชาเป็นอย่างมากมาย ทั้งในเรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหารงาน การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของคณาจารย์ในคณะที่ซ้ำซ้อน
       
โดยมีหลักฐานการกระทำผิดที่ชัดเจน พร้อมแทรกแซงการทำงานภายในคณะรวมทั้งไม่รับฟังความเห็นผู้อื่น เล่นพรรคเล่นพวก เช่น กรณีการลาไปศึกษาต่อของคณาจารย์จะเป็นเฉพาะกลุ่มพรรคพวกของตนเองเท่านั้น และล่าสุดยังได้มีการเรียกประชุมเพื่อรับฟังปัญหาจาก ผศ.เอนก เทพสุภรณ์กุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยฯ และรับปากว่าจะเข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าวภายในวันที่ 23 กรกฏาคมนี้
      
ซึ่งนางวริศรา เชนะโยธิน ประธานสาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์กล่าวว่า หลังเรื่องดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือดำเนินการตามข้อร้องเรียน จึงทำให้มีคณาจารย์ในคณะอีกกว่า 20 คนต้องเดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ วิทยาเขตบางคล้า เพื่อยื่นข้อเรียกร้องขอให้ปลด ผศ.ดร.พรพิมล วิริยะกุลย์ คณะบดี คณะวิทยาการจัดการอีกครั้ง ต่อ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สมหวังพิธิยานุวัฒน์ นายกสภามหาวิทยาลัยฯ และทางนายกสภาฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ โดยได้นำเข้าที่ประชุมเป็นวาระแรก แต่ใที่ประชุมกลับมีมติให้ตีกลับเรื่องดังกล่าวมาให้ ผศ.เอนก เทพสุภรณ์กุล อธิการบดีฯ เป็นผู้พิจารณาสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่ โดยทางสภาฯ จะไม่มีการดำเนินการใดๆ
      
ด้านอาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งสอนประจำภาควิชาวิทยาการจัดการ เผยว่า สาเหตุที่สภาฯ มีมติออกมาเช่นนี้ เพราะหนึ่งในคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย มี ผศ.ดร.พรพิมล วิริยะกุลย์ ผู้ถูกร้องเรียน นั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วยและส่วนใหญ่กรรมการในสภาทั้ง 21 คน ล้วนแต่เป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ถูกร้องเรียน
      
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคมที่ผ่านมา กลุ่มของรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ ซึ่งประกอบด้วยนางพรพรรณ นินนาท รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ดร.สมศักดิ์ เอี่ยมคงสี
      
รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาฯ ผศ.ดร.กุลวดี โรจน์ไพศาลกิจ รองอธิการฯฝ่ายวิชาการ ผศ.สุมลวรรณ ยิ้มงาม รองอธิการฯ ฝ่ายกิจการนักศึกษา ผศ.มาณี พันธุ์เมือง ผู้ช่วยอธิการบดี และนายณัฐภูมิ สุทธกุล ผู้ช่วยอธิการบดี ได้เรียกประชุมคณาจารย์ที่ออกมาเคลื่อนไหว โดยอ้างว่าได้รับการแต่งตั้งจากมหาวิทยาลัยฯ ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการในการสอบสวนข้อเท็จจริง
โดยไม่มีการแสดงสำเนาหรือติดประกาศหนังสือคำสั่งแต่งตั้งให้แก่ทางคณาจารย์ที่ร้องเรียนรับทราบในรายละเอียด แต่กลับแสดงหนังสือที่อ้างว่าเป็นคำสั่งเพียงชั่วขณะโดยขอให้คณาจารย์ที่ออกมาเคลื่อนไหวยุติการกระทำดังกล่าว และพยายามขอเอกสาร
      
และหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องต่อการร้องเรียนทั้งหมด ซ่งขณะนี้คณบดีรายที่ถูกร้องเรียนได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสภ.เมืองฉะเชิงเทรา ให้ดำเนินคดีต่อคณาจารย์ที่ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์ , ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 

ส.ป.ก.เลย สั่ง "ทุ่งคำ" รื้อเหมืองทองพ้นพื้นที่ เหตุค้างจ่ายเงินหลวงกว่า 90 ล้านบาท


สืบเนื่องจากกรณี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2554  กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด จาก 6 หมู่บ้านรอบเหมืองทองทุ่งคำ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย  จำนวนกว่า 100 คน  นำโดยนายสุรพันธ์  รุจิชัยวัฒน์  เดินทางมาชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเลย(ส.ป.ก.เลย)  ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดที่แจ้งให้บริษัททุ่งคำรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและบริวาร ออกจากพื้นที่ ส.ป.ก.ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ 7พฤษภาคม 2554   โดยอ้างตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากร ธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. 2541 ข้อ 18 (2) ข้อ 19 ข้อ 20 (2) และข้อ 21
ล่าสุด สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเลยได้ชี้แจ้งว่า ได้สั่งให้บริษัท ทุ่งคำ รื้อเหมืองทองแล้ว เนื่องจากไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้รัฐจำนวน 90 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้รอคำตัดสินของศาล เพราะบริษัททุ่งคำฟ้องศาลปกครองขอคุ้มครองชั่วคราว
นายสมพร  ภู่พัฒน์วิบูลย์  ปฏิรูปที่ดินจังหวัดเลย เปิดเผยว่า  เหตุที่ยังไม่สามารถบังคับให้บริษัททุ่งคำ จำกัด ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด ที่ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและบริวารออกจากพื้นที่ ส.ป.ก.ภายใน 60 วันได้นั้น  เพราะบริษัททุ่งคำฟ้องศาลปกครองขอคุ้มครองชั่วคราว ดังนั้นระหว่างนี้ต้องรอคำสั่งศาล ซึ่งตนได้ชี้แจงกับชาวบ้านกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดแล้ว  สำหรับเหตุผลที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเลยมีมติดังกล่าวเพราะตามสัญญาแล้ว บริษัททุ่งคำที่เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ ส.ป.ก.ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับรัฐ  ซึ่งในช่วงแรกทางบริษัทก็จ่ายตามปกติ  แต่ในระยะหลังกลับค้างจ่ายเรื่อยมา รวมแล้วประมาณ 90 ล้านบาท  คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะถือว่าบริษัททุ่งคำทำผิดสัญญา นายสมพรกล่าว.

21 กรกฎาคม 2554

หัวลำโพงสถานที่แห่งการแสวงหาโชคหรือเคราะห์กรรมกันแน่ !!!


สถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่มีคนสัญจรผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก   ในแต่ละวันจะมีคนจากทั่วทุกภาคของประเทศเดินทางเข้าออกอยู่ประจำ และคนจากต่างจังหวัดส่วนมากก็นิยมโดยสารรถไฟเข้ามา    ช่วงนี้ในต่างจังหวัดทางภาคอีสานเป็นช่วงที่เสร็จจากภารกิจของชาวนาในการว่านดำ หลายคนจึงมีความหวังที่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพเพื่อจะมีรายได้เสริมไปเลี้ยงครอบครัวอีกทางหนึ่งในระหว่างที่รอให้ถึงฤดูของการเก็บเกี่ยวผลผลิต  เนื่องจากหากอยู่บ้านจะไม่มีรายได้เลย หลายคนจึงเดินทางเข้ามาในกรุงเทพเพื่อหวังว่าจะมีเงินเก็บกลับบ้านในฤดูกาลที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกครั้ง 
การเดินทางเข้ามาหางานของบางคนก็ได้ทำงานตามที่ตัวเองหวังไว้ และมีอีกจำนวนที่ไม่น้อยที่เข้ามาหางานทำโดยที่มีรู้ว่าจะมีงานอะไรให้ทำหรือจะมีปัญหาอุปสรรคอะไรรอพวกเขาอยู่ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า”มาตายเอาดาบหน้า”  ที่หัวลำโพงคนทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีนายหน้าค้ามนุษย์ มาชักชวนและเสนองานให้ทำงานในทันที โดยพวกนายหน้าจะมีเป้าหมายกับคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด และเป็นคนที่ไม่คุ้นชินกับพื้นที่แต่งตัวโทรมๆ    นายหน้าจะเข้ามาตีสนิทและชักชวนให้ไปทำงาน โดยอ้างว่า “มีงานดี เงินเดือนเยอะให้ทำ สนใจทำไหม”  จากข้อมูลของมูลนิธิกระจกเงาพบว่า  กองบังคับการตำรวจรถไฟ เคยมีการกวาดล้างนายหน้าเมื่อหลายปีก่อนมาแล้วและยืนยันว่าขบวนการค้ามนุษย์ลักษณะดังกล่าวได้หมดไปจากหัวลำโพงตั้งแต่นั้นแล้ว
แต่จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาเมื่อไม่นานมานี้ ก็พบว่ายังมีนายหน้าที่ทำหน้าที่ชักชวนคนไปทำงานอยู่ ซึ่งจะปะปนไปกับผู้คนทั่วไปโดยที่ไม่สามารถแยกออกได้  พวกนี้จะใช้พื้นที่ฝั่งทางเข้าของสถานีรถไปหัวลำโพง(ฝั่งทางขึ้นทางด่วน)  เป็นที่ก่อการตีสนิทกับคนที่เดินทางเข้ามาหางานทำ และจะชักชวนให้ไปทำงาน โดยบอกว่า “มีงานดี กินอยู่ฟรี เงินเดือนเยอะให้ทำ สนใจทำไหม”   จากการที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาได้นั่งสังเกตพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้พบว่า พวกเขาจะมีการทำงานเป็นทีม จากการสังเกตและประสบการณ์ตรงของเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา  (ประสบการณ์ตรงคือมีนายหน้ามาชวนเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกระจกเงาให้ไปทำงานด้วย)     พบว่ามีนายหน้าอยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงจริงและมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 คน   ในวันที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาลงพื้นที่นั้นได้มีกระบวนการหลอกคนไปทำงานบนเรือประมงของนายหน้าต่อหน้าต่อตาของเจ้าหน้าที่ จึงพอสรุปลักษณะขั้นตอนวิธีการหลอกคนของนายหน้าดังนี้
ลักษณะการทำงานของนายหน้าที่สถานีรถไฟหัวลำโพง จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา คือ
1.      นายหน้าจะมีการชักชวนเหยื่อและทำการตีสนิทเข้ามาพูดคุยกับเหยื่อ (กับคนที่ดูแล้วพวกเขาคิดว่าจะสามารถหลอกได้ง่าย)
2.      หากเหยื่อคุยด้วยแล้ว จากนั้นนายหน้าก็จะเสนองานประเภทอื่นแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นงานประมง โดยใช้ประโยคเด็ดคือ “มีงานดี เงินเดือนดีให้ทำ สนใจทำไหม” 
3.      หากเหยื่อให้ความสนใจกับข้อเสนอก็จะมีนายหน้าอีกประมาณ 3-4 คน มาช่วยพูดจาว่านล้อมทุกอย่างให้ดูน่าเชื้อถือมากขึ้นอีก
4.      หากเหยื่อสนใจและรับข้อเสนอแล้ว นายหน้าจะให้เด็กวัยรุ่น(ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาคาดว่าน่าจะเป็นเด็กเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ที่หัวลำโพง เนื่องจากดูแล้วมีความคุ้นชินกับพื้นที่และการแสดงออกเหมือนเป็นเจ้าถิ่น ) เข้ามาดูแลเหยื่อเป็นอย่างดีเช่นซื้อบุหรี่ให้สูบ ซื้ออาหารข้าวมาให้เกิน ซื้อเบียร์ให้ดื่ม โดยนายหน้าจะบอกให้เหยื่อรออยู่ตรงนี้กับเด็กไม่ต้องไปไหน จะมีคนมารับ
5.      จะมีรถแท็กซี่มารับเหยื่อออกไปจากสถานีรถไฟหัวลำโพง

เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาได้สอบถามกับผู้ที่เข้ามาหางานทำคนหนึ่ง อายุ 54 ปี ซึ่งได้ใช้ห้องโถงผู้โดยสารสถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นที่พักมา 2 วันแล้ว (ทั้งที่ตามกฎของสถานีรถไฟหัวลำโพง ห้องโถงผู้โดยสารจะปิดให้บริการเวลา 22.30 .) ชายคนนี้ยังไม่ได้งานทำเลยและก็ไม่มีที่ไป ตัวเองเดินทางมาจากจังหวัดศรีสะเกต เป็นช่วงที่บ้านหว่านข้าวเสร็จจากการทำนาแล้ว เลยไม่อยากอยู่ว่างๆ จึงเดินทางโดยรถไฟฟรีเข้ามากรุงเทพ เพื่อที่จะหางานทำ จากคำบอกเล่าของชายคนนี้ว่า  ก็เห็นมีคนมาชวนคนอื่นไปทำงานอยู่แต่คนพวกนั้นกลับไม่ชวนตัวเองเลย ซึ่งคนที่ถูกชวนนั้นส่วนมากเป็นคนหนุ่มที่มีเรี่ยวแรงจะทำงาน ส่วนตัวเองแก่แล้วเลยไม่อยากมีใครรับเข้าทำงาน  ตัวเองก็เห็นนายหน้าพวกนี้นอนด้วยกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง
เจ้าหน้าที่กระจกเงาเลยแนะนำให้ชายที่เข้ามาหางานทำจากศรีสะเกษ  ให้ลองไปปรึกษากับจัดหางานซึ่งตั้งอยู่ข้างในดู คำตอบที่ได้รับจากปากของชายคนที่เข้ามาหางานคือ เขาเคยไปมาแล้ว วันแรกเห็นเพียงห้องเปล่าและเขียนว่าให้ไปติดต่อที่ชั้นสอง จึงไม่อยากขึ้นไปและนั่งรอเผื่อจะมีคนมาชวนให้ไปทำงานด้วย  แต่วันนั้นทั้งวันก็ไม่มีใครมาชวนเขาเลย แต่เขาเห็นว่ามีการชวนคนที่หนุ่มกว่าเขาไปทำงาน   วันที่สองเลยขึ้นไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่จัดหางานข้างบนที่อยู่ชั้นสอง  ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกรมจัดหางานก็มีงานให้ทำคือเป็น รปภ. อยู่บริษัทแห่งหนึ่งย่านลาดกระบัง แต่ว่าต้องเดินทางไปเอง   ผู้ชายคนนี้บอกกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาว่า หากไปเองคงไปไม่ถูกเพราะไม่รู้จักเส้นทางในกรุงเทพเลย เคยเข้ามากรุงเทพครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเอง และเงินในกระเป๋าตอนนี้ก็เหลือแค่ 100 กว่าบาท  ดังนั้นตนจึงไม่รู้จะทำยังไงดีเลยคิดว่าคงต้องรออยู่ที่หัวลำโพงเพื่อที่จะให้มีคนมาชวนไปทำงานด้วยดีกว่า ซึ่งเป็นคำพูดออกมาจากปากที่สิ้นหวังกับหน่วยงานของรัฐด้วยตัวเขาเอง
ชายอายุ 54 ปีที่มาจากศรีสะเกษผู้นี้เกือบตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ไปเสียแล้ว ถ้าหากอายุของเขาหนุ่มกว่านี้อีก 10 ปี เพราะส่วนมากนายหน้าจะเลือกหลอกเอาเฉพาะชายที่มีร่างกายดูว่าแข็งแรงสามารถทำงานบนเรือประมงได้ดี และช่วงที่เขานอนรองานที่สถานีรถไฟหัวลำโพง อยู่นั้นเขาก็ไม่อาจรู้เลยว่า คนที่นอนด้วยกันข้างในโถงผู้โดยสารจะมีคนที่หลอกคนไปค้าคน   โถงในสถานีรถไฟหัวลำโพงไม่เพียงเป็นที่พักให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางในแต่ละวัน แต่มันยังเป็นที่พักอย่างดีให้นายหน้าได้มาอาศัยเพื่อที่จะหาเหยื่อด้วย  ดังนั้นจากกฎของห้องโถงอาคารผู้โดยสารที่ปิดเวลา 22.30 . ก็ไม่ได้ปิดจริงเพราะยังมีคนสามารถเข้าไปนอนได้
    จากข้อมูลเชิงประจักษ์ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาพบว่ายังมีนายหน้าอยู่จริง  ซึ่งขัดกับข้อสังเกตของกองบังคับการตำรวจรถไฟว่ามีการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ในลักษณะนี้หมดไปแล้วจากหัวลำโพง แต่ก็อาจเป็นดังข้อสังเกตนั้นก็ได้ แต่อาจจะหายไปเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแต่  เพราะปัจจุบันนี้นายหน้าค้ามนุษย์ได้กลับมามีบทบาทเข้ามาชวนคนไปทำงาน ซึ่งตรงข้ามกับกรมการจัดหางานในพื้นที่ ที่ให้คนเข้าหา และตอนนี้หัวลำโพงก็เป็นพื้นเสี่ยงเสี่ยงอีกพื้นที่หนึ่งในกรุงเทพฯที่จะเป็นพื้นที่ทางผ่านของกระบวนการค้ามนุษย์เกิดขึ้น
กรมการจัดหางานที่อยู่ในสถานีรถไฟหัวลำโพง ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ในการให้บริการและติดต่อประสานงานเพื่อที่จะให้ความสะดวกแก่ผู้ที่เข้ามาใช้บริการและหางานในกรุงเทพ เพราะประชาชนที่เดินทางมาหางานในกรุงเทพ พวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนพกระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมา คนที่จบปริญญาตรีก็จะมีความรู้มากกว่าคนที่จบแค่ ป.4 ระดับความเข้าใจก็จะไม่เหมือนกัน  ลักษณะงานก็จะแตกต่างกันออกไป  การให้คำปรึกษาและช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่กรมจัดหางานในพื้นที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในตอนนี้ บางทีอาจจะทำให้สถิติการค้ามนุษย์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนที่เข้ามาขอคำปรึกษาช่วยเหลือบางคนไม่คุ้นชินกับเส้นทางในกรุงเทพหรือบางคนมาตัวเปล่านั่งรถไฟฟรีมาเพื่อมาตายเอาดาบหน้าแล้วจะให้ดำเนินการตามที่เจ้าหน้าที่บอกมันก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับพวกเขาเหล่านั้น  ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือนั่งรอโชคชะตาที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นโชคหรือเคราะห์กรรมกันแน่ หรือหากไม่ใช่ชายในวัย 54 ปีที่เดินทางด้วยรถไฟฟรี จากจังหวัดศรีสะเกตเพื่อมาหางานทำในกรุงเทพ แต่ถ้าหากเป็นชายที่อายุต่ำกว่านี้สัก 10 ปี เขาคงไม่ได้นอนที่สถานีรถไฟหัวลำโพงถึงสองคืน เชื่อได้เลยว่าไม่เกินคืนแรกเขาก็จะไปอีกที่หนึ่ง ที่ไหนสักที่กลางทะเล เพื่อไปหาปลากับเรือประมง

                                                           
                                                                                         ธนาวุธ  กิจรักษา
                                                 ผู้ประสานงานโครงการคุ้มครองสิทธิแรงงานประมง
                                                            ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์
                                                                        มูลนิธิกระจกเงา
                                                   พัฒนาชุมชน มข.รุ่นที่ 24 อาศรมบ่มเพาะรุ่นที่ ๑