ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

31 มกราคม 2554

โลกาภิวัตน์ ขบวนการคนหนุ่มสาว และ 20 ปี ของ ชนพ.


            ฟรานซิส   ฟูกูยามา  ได้เขียนไว้ ในหนังสือ “The End of History and the Last Man” ของเขาว่าโลกยุคปัจจุบันมาถึงช่วงของการสิ้นสุดประวัติศาสตร์แล้ว โลกซึ่งเจริญก้าวหน้ามาจากยุคดึกดำบรรพ์ สังคมชนเผ่า  มาถึงยุคเกษตรกรรม เรื่อยขึ้นมาผ่าน ระบอบราชาธิปไตย ขุนนาง จนมาถึงการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย และลัทธิทุนนิยม ที่ได้รับการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ดังที่เราเป็นอยู่ในทุกวันนี้     การประกาศของฟูกูยาม่า ซึ่งเป็นการประกาศชัยชนะของโลกทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่มีต่อโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์  ว่าบัดนี้โลกจะมีอุดมการณ์เดียวคือระบอบ"เสรีประชาธิปไตย เราจะมีประชาธิปไตยที่มั่นคง" กับ "ความเจริญรุ่งเรืองในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในระดับสูงสุด     ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุด วิวัฒนาการ เพราะเรา ได้บรรลุถึงอารยะธรรมสูงสุด  จะไม่มีความขัดแย้งทางอุดมการณ์และสงครามอีกต่อไป   แต่ทั้งนี้การแสดงความอหังการของฝ่ายเสรีทุนนิยมอาจจะผิดก็ได้  เพราะหลังเหตุการณ์ 9/11  โลกก็ได้เผชิญกับสงคราม ในอัฟกานิสถานและอีรัก   ดังที่ แซมมวล  ฮันติงตั้น  นักวิชาการฝ่ายขวาอีกคน ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Clash of civilization ว่าเป็นการปะทะกันของอารยะธรรมโลกเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตกกับอารยะธรรมอิสลาม   นอกจากนี้การเกิดขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์และการคัดค้านสงครามที่นำโดยสหรัฐอเมริกานับวันยิ่งขยายตัวมากขึ้นทุกที แสดงถึงว่าจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งไม่จริง เพราะโลกหาได้มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมตามที่ฝ่ายคลั่งทุนนิยมกล่าวถึง
            โลกปัจจุบันถือว่ามาสู่ยุคสิ้นสุดอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์ในฐานะชุดความคิดหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยม คอมมิวนิสต์  หรืออื่นๆ ดูจะล่มสลายไปหมด  โลกทุกวันนี้จึงไม่มีชุดความคิดที่จะนำพาการเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่จินตภาพโลกที่ดีกว่าเดิม  ความเป็นทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด    แต่ความสิ้นสุดของอุดมการณ์อาจจะมองได้อีกแง่มุมหนึ่งว่า แท้จริงแล้วอุดมการณ์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งถูกต้องอย่างนั้นหรือ  อุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ที่ก่อให้เกิดรัฐเผด็จการโดยพรรคในจีนและรัสเซีย  อุมดมการณ์แบบฮิตเลอร์   อุดมการณ์แบบเขมรแดง   อุดมการณ์ชาตินิยมที่ก่อให้เกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ  ทำให้อุดมการณ์ถูกตั้งคำถามว่าเป็นสิ่งเดียวที่แสดงออกถึงการมีจริยธรรมของมนุษย์ใช่หรือไม่  แต่การสิ้นสุดของอุดมการณ์และการสถาปนาทุนนิยมเสรี ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างความสุขแก่มวลมนุษย์ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะสิ่งที่ตามมาไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ขูดรีดแรงงานยังมีอยู่  การขูดรีดสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ  การเอารัดเอาเปรียบ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำสงครามเพื่อผลประโยชน์ของอำนาจทุน  ก็อาจจะทำให้อุดมการณ์ต่างๆที่เคยสูญสลายไป ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา  อุดมการณ์ในฐานะเครื่องมือชี้นำทางความคิดเพื่อไปสู่สังคมที่ดีกว่า   และขบวนการคนหนุ่มสาวที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาททั่วโลกในยุค 60-70 และลดบทบาทลงไปปัจจุบันก็เริ่มมีการฟื้นฟูบทบาทมากขึ้น   แต่ปัจจุบันของขบวนการหนุ่มสาวไทยจะดำเนินไปสู่หนใด
                คำถามถึงขบวนการคนหนุ่มสาวของประเทศไทย นำพาให้นึกถึงเหตุการณ์ขณะนั่งฟัง อดีตผู้นำนักศึกษาของอินโดนีเซีย เล่าถึง  ปัญหาการพัฒนาของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปัญหาหลายอย่างใกล้เคียงกับไทย  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการพัฒนาที่เน้นความทันสมัย ที่ทำให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวย ปัญหาโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ      ผมได้ถามเขาถึงกิจกรรมนักศึกษาในอินโดนีเซีย  เนื่องเพราะเขาเคยเป็นแกนนำนักศึกษาในการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของนายพลซูฮาร์โต  เขาเล่าว่าในช่วงที่ระบบซูฮาร์โตเรืองอำนาจ  เป็นระบบเผด็จการทหาร ที่ห้ามไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล  ห้ามพูดถึงปัญหาสังคมต่างๆ  บรรยากาศในมหาวิทยาลัยค่อนข้างเงียบ เพราะถูกควบคุม  อาจารย์มีหน้าที่สอนหนังสืออย่างเดียว   หรือไม่ก็ทำวิจัยหาเงินและเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มธุรกิจเอกชนมากกว่าการสอนนักศึกษา   ซูฮาร์โตใช้แนวทางพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่ประเทศมานับ 30 ปี   แต่ปัญหาที่ตามมาคือการเน้นการพัฒนาภาคเมือง ทำให้เมืองขยายตัวมากขึ้น  เกิดปัญหาชุมชนแออัดและคนจนเมือง ในชนบทก็พบปัญหาความยากจน และปัญหาการขาดแคลนที่ดิน   แม้ว่า GDP ของประเทศจะพุ่งสูงขึ้น แต่คนที่ได้ประโยชน์ก็มีแต่กลุ่มเครือญาติและพวกพ้องของซูฮาร์โต ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง   ปัญหาต่างๆก็สั่งสมมากขึ้น ทั้งปัญหาความยากจน  ปัญหาการคอรัปชั่น ปัญหาการขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ  และเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศเมื่อปี 2540  จึงทำให้เศรษฐกิจของประเทศล้มครืน อินโดนีเซียต้องขอกู้เงินจาก IMF เช่นเดียวกับประเทศไทย  ซึ่งยิ่งส่งผลกระทบต่อคนยากจนมากขึ้น  จึงทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น จนนำไปสู่การประท้วงใหญ่เพื่อให้ซูฮาร์โตลงจากอำนาจ  ทั้งนี้ในส่วนนักศึกษาแรกๆยังถูกควบคุม  จึงทำการเคลื่อนไหวประท้วงแต่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น  และยังไปช่วยชาวบ้านต่อสู้เรื่องปัญหาที่ดินทำกินอันเนื่องมากจาก ถูกแย่งที่ดินไปสร้างสนามกอล์ฟ  สร้างเขื่อน หรือไร่เกษตรขนาดใหญ่  จากนั้นจึงได้เคลื่อนไหวใหญ่ให้เกิดการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ พร้อมกับการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมให้แก่เกษตรกรและกรรมกร  เพราะระบบอำนาจนิยมแบบซูฮาร์โตไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน  การประท้วงได้ขยายลุกลามไปทั่วประเทศจนทำให้ซูฮาร์โตต้องลาออกจากประธานาธิบดี 
                ทั้งนี้หลังจากสิ้นสุดรัฐบาลซูฮาร์โต  ประเทศมีเสรีภาพมากขึ้น เขาเล่าว่า อุดมการณ์และแนวคิดสังคมนิยม หนังสือของพวกฝ่ายซ้ายในอดีต ที่เคยเป็นสิ่งต้องห้าม แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ นักศึกษา คนหนุ่มสาว  ทำให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองและการสนใจปัญหาสังคมของประเทศมากขึ้น   เมื่อพูดมาถึงตรงนี้  เขาได้ถามถึงนักศึกษาไทยปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร  โดยเขารับรู้มาว่าไทยเคยมีขบวนการนักศึกษาที่เข้มแข็งมาก่อน  ซึ่งผมก็ได้แต่บอกไปว่า นักศึกษาไทยปัจจุบันไม่ได้มีบทบาทต่อสังคมมากนัก  เขาถามว่าทำไม ผมเองก็ตอบยาก  แต่สรุปไปว่าสังคมไทยปัจจุบันมีเสรีภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ  แม้ว่าจะประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 40  แต่ประเทศก็ฝ่าข้ามมาได้ในเวลาไม่กี่ปี  ด้วยเหตุนี้ นักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่มีฐานะสุขสบาย และใช้ชีวิตแบบบริโภคนิยม จึงไม่ค่อยสนใจปัญหาสังคม มีความเป็นปัจเจกมากขึ้น   แต่เขาไม่เห็นด้วย  โดยมองว่าที่ประเทศของเขาก็มีลักษณะแบบเดียวกัน  แต่นักศึกษาก็ยังพอมีบทบาททางสังคมอยู่บ้าง การบอกว่าเพราะการพัฒนาทุนนิยมและบริโภคนิยมทำให้จิตสำนึกทางสังคมและการเมืองของนักศึกษาลดลงนั้นไม่น่าจะเพียงพอ  
                แน่นอนว่านี่คือปัญหาสำคัญในการถามถึงบทบาทนักศึกษาไทยปัจจุบัน เพราะแม้ว่ามีเสรีภาพ  มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่ก็ใช่ว่าปัญหาสังคมต่างๆจะหมดไป   ผมได้อธิบายไปว่านักศึกษาไทยปัจจุบันเกิดและเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังขยายตัวคือในช่วงปลายทศวรรษ 80  เป็นวัยรุ่นในช่วงปลาย 90 เข้าเรียนมหาลัยหลังปี 2000   ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟองสบู่ขยายตัวเต็มที่ ก่อนจะระเบิดในช่วงหนึ่ง  และเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้นมาอีก  ดังนั้นวิธีคิดแบบบริโภคนิยมและการมีชีวิตที่ดีในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจึงเป็นวิธีคิดหลักของลูกหลานชนชั้นกลาง   เด็กวัยรุ่นเหล่านี้เติบโตมากับห้างสรรพสินค้า  แฟชั่น  ดนตรีป๊อบ  โทรศัพท์มือถือ   ส่วนมหาวิทยาลัยก็ เป็นที่สำหรับลูกคนชั้นกลางที่มีสติปัญญาสูงและอาศัยความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ พาตัวเองเข้ามาเรียนได้มากกว่าลูกหลานคนจนหรือเกษตรกร     ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้มีรากทางวัฒนธรรม ขาดวินัย  ไร้แรงบันดาลใจในชีวิต     ไม่รู้สึกผูกพันกับใครนอกจากตัวเอง  มีแต่ตัวตนลอยๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับสังคมรอบข้าง  เข้ามาเรียนเพื่อปริญญา อันเป็นเครื่องมือในการดำรงอยู่ทางชนชั้นของตน  เรียนให้ได้คะแนนสูงๆ เพื่อจบออกไปทำงาน และต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต    ส่วนการแสวงหาความรู้และใช้ความรู้อำนวยประโยชน์ต่อสังคม เป็นเรื่องรอง    นักศึกษาไทยปัจจุบันจึงทำกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนาน จัดงานปาร์ตี้ กระโดดโลดเต้น ยักย้ายส่ายเอวยักไหล่ และขึ้นเวทีประกวดนางงาม นางแบบ มากกว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคมและการเมือง  เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวนอกจากนี้โลกาภิวัตน์ที่ครอบลงมาทำให้ ด้านหนึ่งนักศึกษามีเสรีภาพส่วนตัวที่จะทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีคนอื่นเกี่ยวข้อง และการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของปัจเจกบุคลที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นกับกฎเกณฑ์ใดๆ  การหล่อหลอมของจิตสำนึกจึงแยกตัวออกจากส่วนรวม  แยกตัวจากรากฐานวัฒนธรรมเดิม  เหลือแต่เรือนร่าง ตัวตนทางกาย ที่ปรุงแต่ง อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับตลาดและการทำให้เป็นสินค้าของระบบทุนนิยม  นักศึกษายุคใหม่จึงมีตัวตนที่เหมือนๆ กัน แต่งกายเหมือนกัน กินอยู่คล้ายกัน บริโภคคล้ายกัน มีตรรกะและระบบคิดเหมือนกัน เงียบเหงาและเปราะบางทางอารมณ์   แต่ทั้งนี้ผมก็ได้บอกว่าไม่ใช่นักศึกษาไทยจะถูกครอบทั้งหมด นักศึกษาหลายคนมีความคิดที่แหวกออกมาจากกรอบ  มีความเห็นออกเห็นใจผู้อื่น   นักศึกษาหลายคนพยายามแสวงหาการเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อสังคม หลายคนออกมาทำกิจกรรมทางสังคมและร่วม เคลื่อนไหวกับชาวบ้านที่ประสบปัญหา   แต่ภายใต้กระแสวัฒนธรรมบริโภคที่เชี่ยวกราก จิตสำนึกทวนกระแสจึงเป็นสิ่งที่งอกเงยได้ยาก  และทั้งหมดนี้จึงทำให้นักศึกษาไทยมีบทบาททางสังคมลดลง
                หลังจากวันนั้นผมมานั่งคิดดูอีกที    การวิเคราะห์โครงสร้างที่ครอบลงมาทำให้นักศึกษามีจิตสำนึกทางสังคมลดลง นั้นเป็นจริงหรือไม่  หรือเรากำลังมองข้ามอะไรไปบางอย่าง   Naomi   Clien  ผู้เขียนหนังสือ  Nologo  ในฐานะที่เป็นคัมภีร์ของผู้ต่อต้านโลกาภิวัตน์  ได้กล่าวถึงบทบาทของคนหนุ่มสาวทั่วโลกที่ประท้วงการประชุม WTO  ที่ซีแอตเติ้ล  สหรัฐอเมริกาว่า   คนหนุ่มสาวเหล่านี้ เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการฝ่ายซ้ายในยุค 60 – 70 แต่เป็นกลุ่มคนที่เห็นความไม่เป็นธรรมที่รัฐและกลุ่มทุนข้ามชาติสร้างไว้ในนามของกลไกตลาดเสรี จึงออกมาประท้วงต่อต้านโลกาภิวัตน์     การประท้วงที่ซีแอตเติ้ลไม่ได้ใช้วิธีการประท้วงแบบชูมือเรียกร้อง หรือเสนอคำขวัญประเภทโค่นล้ม แต่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ (New Social  Movement ) ที่ก้าวพ้นไปจากความเป็นชนชั้น มีวิธีการประท้วงที่หลากหลาย   เช่น การแสดงละคร  การแต่งแฟนซี การใช้ศิลปะ การใช้สื่ออินเตอร์เน็ต มาเป็นแนวทางในการแสดงออก   ซึ่งเป็นการแสดงศักยภาพของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ผูกติดกับขบวนเคลื่อนไหวในยุคอดีตจนมองข้ามศักยภาพของคนรุ่นตน และหลังจากนั้นการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์โดยคนหนุ่มสาวก็ขยายไปทั่วโลก   มันจึงทำให้ผมคิดได้ว่าแท้จริงจิตสำนึกที่ดีงามเป็นสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของคนหนุ่มสาวอยู่แล้ว   เพียงแต่เราจะกระตุ้นและปลุกเร้ายังไง   การสิ้นสุดของอุดมการณ์เป็นการสิ้นสุดของระบบความคิดที่คับแคบ หยาบกระด้างของระบบคิดหนึ่งเท่านั้น  แท้จริงเรายังมีระบบคิดที่ก้าวลึกไปถึงจิตวิญญาณ ศีลธรรมและจริยธรรมอีกมากมายในการสร้างสรรค์โลก             เฉกเช่น ในเวทีสมัชชาสังคมโลก( World Social Forum)  ที่อินเดียในหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการเสนอคำขวัญที่ว่า โลกใบใหม่ที่เป็นไปได้”(  อันจะเป็นการตั้งคำถามต่อระบบทุนนิยมเสรีว่าเป็นคำตอบสุดท้ายเท่านั้นฤา  หรือว่าเรามีทางเลือกอื่นๆมากกว่าระบบทุนนิยมในการสร้างสังคมที่ดีงาม)
                แม้ว่าอุดมการณ์ในยุคปัจจุบัน ดูจะเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไร้ค่า และหนักสมอง ของคนรุ่นใหม่   แต่  ชนพ.  ในฐานะที่เป็นกลุ่มกิจกรรมของนักศึกษาคนหนุ่มสาว ซึ่งได้ดำเนินกิจกรรมมาจนครบ 20 ขวบปี   ทำกิจกรรมทั้งลงไปเคลื่อนไหวกับชาวบ้าน ทั้งออกค่ายอาสา และกิจกรรมอื่นๆอีกหลายรูปแบบ อันเป็นการนำพาเราไปสัมผัสกับคนยากคนจน คนด้อยโอกาส เพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตมนุษย์บนหนทางแห่งการสร้างสรรค์ตนเองต่อสังคมถือได้ว่า เรามีต้นทุนทางสังคมที่ดี เรามีศักยภาพที่อัดแน่นและเปี่ยมล้นอยู่ภายใน ที่จะทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  เรามีสำนึกที่สืบทอดมาแต่ยุคอดีตหลอมรวมกับศักยภาพแห่งปัจจุบันเพื่อมุ่งมั่นสู่อนาคต ของการเป็นกลุ่มกิจกรรมที่สร้างสรรค์สังคม   แต่ ชนพ.จะหลอมรวมความคิดและการปฏิบัติในการสร้างสรรบทบาททางสังคมของตนเองก้าวไปพร้อมกับขบวนการคนหนุ่มสาวของโลกยุคใหม่อย่างไรนั้น   หนุ่มสาวผู้นำพา  ชนพ. ก้าวสู่ทศวรรษที่สาม จะเป็นผู้ไขคำตอบเอง

ใบตองกุง..................

ชุมนุมนักศึกษาเพื่อการพัฒนา  ( 2537 – 2540 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น