ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

11 พฤศจิกายน 2554

ป่าโคกป่าช้า : ป่าผืนเล็กหัวใจใหญ่


ชอลิ้วเฮียง
                ป่าไม้มีประโยชน์นานัปการ ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ อาทิ เพิ่มความชุ่มชื้นของบรรยากาศ ดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุของโลกร้อน เนื้อไม้นำมาสร้างบ้านเรือน พืชหลายชนิดสามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพร เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชดำริเพื่อการอนุรักษ์ป่าไม้จำนวนมาก โดยที่ชุมชนใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักอนุรักษ์ และบริหารจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
                ป่าโคกป่าช้าบ้านยางคำ ตั้งอยู่ที่ บ้านยางคำ หมู่ที่ ๑๔ ตำบลยางคำ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น มีสภาพเป็นป่าเต็งรัง ติดกับภูกระแตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติน้ำพอง มีเนื้อที่ประมาณ ๑๗๔ ไร่ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบป่าได้ใช้เป็นแหล่งอาหาร สมุนไพร ไม้ใช้สอย ไม้ฟืน และพื้นที่เลี้ยงสัตว์         
แต่จากการบุกรุกทำลายโดยชาวบ้านที่มีพื้นที่ทำกินรอบป่า เพื่อจับจองเป็นที่ดินทำกินส่วนตัวทำให้พื้นที่ป่าไม้มีขนาดลดลง  รวมทั้งการเข้ามาใช้ประโยชน์จากป่าโดยไม่มีการอนุรักษ์และดูแลรักษาที่เหมาะสมทำให้ป่าไม้มีสภาพเสื่อมโทรมลงไป
ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ สำนักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้ประชุมชนร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลยางคำ ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน และหน่วยงานในท้องถิ่น           เพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับป่าโคกป่าช้า  
 จึงมีแนวคิดร่วมกันที่จะอนุรักษ์ป่าโคกป่าช้าให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ โดยสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชุมชนให้มีความสามารถในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและการบริหารจัดการป่าชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ
เริ่มจากการจัดตั้งคณะกรรมการ โดยคัดเลือกจาก ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน และหน่วยงานในท้องถิ่น เพื่อเข้ามาเป็นแนวร่วมในการอนุรักษ์ป่าไม้       
จากนั้นจึงจัดกระบวนการเรียนรู้ทั้งการอบรมและศึกษาดูงาน เพื่อให้คณะกรรมการและชาวบ้าน    มีความรู้และความเข้าใจแนวคิดเรื่องการจัดการป่าชุมชน 
เพื่อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม จึงจัดเวทีประชาพิจารณ์ เพื่อให้คณะกรรมการและชาวบ้าน ได้ร่วมตัดสินใจ และระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าโคกป่าช้า
คณะกรรมการได้ร่างระเบียบข้อบังคับการอนุรักษ์ป่าโคกตลดาใหญ่ และจัดเวทีให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมแก้ไขร่างระเบียบข้อบังคับดังกล่าวก่อนนำไปใช้
ร่วมกันสำรวจแนวเขตป่าและการจัดทำแผนที่ป่าที่มีความถูกต้อง โดยศึกษาและจัดทำแผนที่ป่าไม้ที่ลงพิกัดของต้นไม้  เส้นทางเดิน แนวป่า  ระยะทาง และจัดทำเป็นโปรแกรมภูมิศาสตร์สารสนเทศ (GIS) 
                นอกจากนี้ยังได้สำรวจพรรณไม้ และความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลของทรัพยากรพันธุ์พืชในป่าโคกป่าช้า เผยแพร่แก่ชาวบ้านและผู้สนใจทั่วไป
ในการฟื้นฟูสภาพป่า ได้ร่วมกับชุมชน ปลูกต้นไม้และสมุนไพรทดแทน เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่า พร้อมกับให้ความรู้เรื่องการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรอีกด้วย
มีการสร้างฝายชะลอน้ำจำนวน 10 จุด เพื่อเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผืนป่า เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้โดยเฉพาะไม้ขนาดเล็ก
                การประยุกต์ใช้ประเพณีผูกเสี่ยวในการอนุรักษ์ป่าชุมชน โดยใช้แนวคิดที่ว่า ผูกเสี่ยวกับต้นไม้เพื่อจะได้รู้สึกรักและหวงแหนป่าไม้เสมือนเพื่อนคนหนึ่ง
                ผลที่เกิดจากการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าของตำบลยางคำ จากการดำเนินงานอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าโคกป่าช้าของบ้านยางคำ ๔ หมู่บ้าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งต่อชุมชน ต่อเศรษฐกิจ และต่อป่าไม้เอง ไม่ว่าจะเป็น
                กลไกขับเคลื่อนในรูปแบบของคณะกรรมการ  ซึ่งจะเป็นแกนหลักในการทำงานและประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาคีต่างๆ ทั้งภายในชุมชนและภายนอกชุมชน
การประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องของผู้นำชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจและมีจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ป่ามากขึ้น
กลุ่มเยาวชนเข้ามีส่วนร่วมและเป็นกำลังสำคัญ  ในการสำรวจป่าไม้ทุกวันอาทิตย์ ลาดตระเวนเพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า สำรวจและซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ และยังเป็นอาสาสมัครช่วยเก็บขยะ   ทั้งในป่าและภายในชุนชน
มีระเบียบข้อบังคับของการอนุรักษ์ป่าโคกป่าช้าที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแก้ไข ทำให้ได้รับการยอมรับจากชุมชน มีสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน และช่วยให้ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของป่าร่วมกัน
                มีแนวเขตป่าที่ชัดเจนก็ช่วยให้คณะกรรมการป่าชุมชนและชาวบ้านรู้ขอบเขตป่าที่จะดำเนินการอนุรักษ์ฟื้นฟูมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
มีฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพป่าโคกป่าช้าบ้านยางคำ ซึ่งจะได้มีการนำไปจัดทำเป็นโปสเตอร์สำหรับเผยแพร่ความรู้ภายในป่าและจัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติต่อไป
จากการที่ชาวบ้านหยุดบุกรุกและทำลายป่า ทำให้ป่าที่เคยเสื่อมโทรมเริ่มกลับมาฟื้นตัวโดยแทบไม่ต้องปลูกทดแทนตามพระราชดำริในเรื่องการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ต้นไม้ส่วนใหญ่เจริญเติบโตได้ดี       ป่ามีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีเห็ดจำนวนมากบริเวณใกล้ๆ ร่องน้ำจุดที่มีการทำฝาย          มีชาวบ้านเข้ามาเก็บเห็ดได้เพิ่มมากขึ้น เริ่มสังเกตเห็นว่ามีสัตว์ป่าเข้ามาอยู่อาศัย เช่น ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก      เป็นต้น
 จากการที่ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากป่าไม้ภายใต้ข้อบังคับที่ตกลงร่วมกัน ทำให้มีรายได้ เพิ่มขึ้นในขณะที่รายจ่ายของครัวเรือนลดลง เพราะฟืน สมุนไพร ผักพื้นบ้าน และเห็ดที่เคยต้องซื้อ ก็ไม่ต้องซื้อ โดยเฉพาะเห็ดมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถเก็บไปบริโภคในครัวเรือน       เหลือจากการบริโภคสามารถนำไปจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ ลดปัญหาความยากจนของชุมชน และช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันในรูปแบบของคณะกรรมการป่าชุมชนที่ให้ทุกภาคส่วนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยกัน สามารถเติบโตเป็นชุมชนต้นแบบในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

04 พฤศจิกายน 2554

เผยแผนการเปิดหน้าเหมืองโปแตชปี 55 อุดร - สกล

...อก.เตรียมแผนเปิดปากเหมืองโปแตชภาคอีสาน ให้สำเร็จในปีหน้า เล็งปักธงพื้นที่อุดร และสกลก่อน  ทส.รับลูกปลดล็อค ม.6 ทวิ วรรคสองตามกฎหมายแร่ ให้ขออาชญาบัตรได้ในกรณีพิเศษ สบช่องทุนจีนจ้องเขมือบทรัพยากร เอพีพีซี เร่งจัดฉาก เกณฑ์ผู้นำ อปท. และชาวบ้านสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมแนบ อีไอเอ เผยอาจมีการลดพื้นที่คำขอประทานบัตรเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่อต้าน ...

อุดรธานี : วันที่ 4 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ว่า ได้มีความเคลื่อนไหวของบริษัท เอเชีย แปซิฟิก โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ เอพีพีซี ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนผู้ยื่นคำขอประทานบัตรเหมืองใต้ดิน เพื่อทำเหมืองแร่โปแตชแหล่งอุดรใต้ ได้มีการจัดเวทีในระดับพื้นที่เพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมตามขั้นตอนการขออนุญาตประทานบัตร ที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.แร่ (ฉบับที่5) พ.ศ.2545

โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. เป็นต้นมา บริษัทเอพีพีซี ได้จัดกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้นำชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในช่วงต้นเดือนพ.ย.ระหว่างวันที่ 1-6 จะดำเนินการกับชาวบ้านในพื้นที่ ณ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ของบริษัทฯ ที่บ้านหนองตะไก้ ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.อุดรธานี

โดยนางยุพาพร  รักษาภักดี สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) ตำบลหนองไผ่ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนพร้อมด้วยสมาชิกสท.ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะจัดกระบวนการดังกล่าวกับผู้นำชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ครบทุกตำบลในเขตเหมือง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
ข้อมูลชี้แจงส่วนใหญ่ บริษัทฯ จะพูดถึงผลประโยชน์ที่ท้องถิ่นและชุมชนจะได้รับ เช่น ค่าภาคหลวงแร่ การจ้างงาน การสร้างรายได้ แต่ไม่บอกว่าจะมีผลกระทบ หรือหากเกิดผลกระทบขึ้นจริงบริษัทฯ ก็จะมีมาตรการแก้ไขได้ หลังจากนั้นก็ให้กรอกแบบสำรวจความคิดเห็น และลงชื่อในหนังสือแสดงเจตจำนงการมีส่วนร่วมที่บริษัทฯ เตรียมไว้นางยุพาพรกล่าว

นางยุพาพรกล่าวต่อว่า บริษัทฯ จะจัดเวทีให้ครบทั้ง 5 ตำบลในเขตพื้นที่เหมือง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งผู้นำ และประชาชนผู้มีส่วนได้เสียด้วย ทั้งนี้ เพื่อเตรียมการเข้าสู่ขั้นตอนการทำประชาคมหมู่บ้าน และการให้ความเห็นชอบของ อบต. หรือ สท.หลังจากมีการปิดประกาศแผนที่เขตคำขอประทานบัตร นางยุพาพรกล่าว

ทั้งนี้ สอดรับกับแหล่งข่าวภายในกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้มีแผนการที่จะผลักดันให้ใบอนุญาตประทานบัตร เพื่อให้สามารถเปิดหน้าเหมืองและทำการผลิตแร่โปแตชให้ได้ภายในปี พ.ศ.2555 โดยเล็งเป้าในพื้นที่จ.อุดรธานี และจ.สกลนคร หรือที่ใดที่หนึ่งก่อน
โดยเฉพาะแหล่งอุดรใต้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการลดพื้นที่คำขอประทานบัตรให้เล็กลงจากเดิม ที่ บริษัทเอพีพีซี ขอไว้กว่า 2.6 หมื่นไร่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการคัดค้านของกลุ่มชาวบ้าน โดยใช้วิธีการให้อนุญาตทีละแปลงแล้วค่อยขยายต่อแปลงอื่นในภายหลัง แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวยังเปิดเผยต่อว่า ขณะนี้ กพร.ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทำการศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ หรือ เอสอีเอ (Strategic Environmental Assessment ) โครงการพัฒนาแหล่งแร่โปแตช ภาคอีสาน โดยจะใช้เวลาดำเนินการ 10 เดือน ซึ่งเมื่อทำการศึกษาแล้วเสร็จ ก็จะชงเรื่องให้ กพร. เพื่อมีความชอบธรรม ต่อการออกใบอนุญาตประทานบัตร ในพื้นที่ที่มีการยื่นคำขอ ให้สามารถทำการเปิดเหมืองได้ทันที

ด้านนายสุวิทย์  กุหลาบวงษ์  เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน ได้เปิดเผยเอกสาร ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ให้ยื่นคำขออาชญาบัตรในเขตพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ได้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งนายปรีชา  เร่งสมบูรณ์สุข รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ลงนาม

และนายสุวิทย์ยังได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เหมืองโปแตชสกลนคร บริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นขออาชญาบัตรพิเศษ เพื่อสำรวจแร่โปแตชใน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร จำนวน 12 แปลง เนื้อที่ 120,000 ไร่ ตั้งแต่ ปี 47 แต่ยังติด ม.6 ทวิ วรรคสอง และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เสนอให้กระทรวงทรัพย์ฯ เปิดพื้นที่ ดังนั้น จากเอกสารจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นการรับลูกของกระทรวงทรัพย์ฯ เพื่อปลดล็อค ม.6 ทวิ วรรคสอง ตามกฎหมายแร่ เพื่อให้เอกชนยื่นขออาชญาบัตรเพื่อทำการสำรวจได้เป็นกรณีพิเศษ และสามารถยื่นขอประทานบัตรเพื่อทำการผลิตแร่โปแตช ได้ตามขั้นตอน ซึ่งก็จะนำไปสู่การผลักดันเหมืองโปแตช โดยที่มีกลุ่มการเมืองคอยชักใย
ทุนจากประเทศจีนที่มีเงินมหาศาล กำลังรุกหนักโดยการชี้นำของนักธุรกิจสายสมาคมมิตรภาพไทย-จีน และผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง ตั้งแต่สมัยนายพินิจ  จารุสมบัติ  ยังเป็นรมต.กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลประโยชน์ทั้งหมดไม่ได้ตกเป็นของประชาชน นายสุวิทย์กล่าว

นายสุวิทย์เปิดเผยต่อว่า ในส่วนโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี  บริษัทเอพีพีซี พยายามสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม โดยเลือกเกณฑ์เอาแต่กลุ่มคนที่สนับสนุนโครงการฯ เข้าร่วมเวที แล้วอ้างว่านี่คือกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อนำไปประกอบรายงานอีไอเอ และขั้นตอนประทานบัตร ซึ่งกระบวนการดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม
ในพื้นที่อุดรฯ มีกลุ่มชาวบ้านออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างต่อเนื่อง และเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ ต้องเลือกทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับกลุ่มที่เห็นด้วย เพื่อให้เสร็จทันกับการศึกษา เอสอีเอ ของกพร. ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะมีการลดขนาดพื้นที่ประทานบัตรลงเหลือแค่ 5,000 ไร่ จาก 2.6 หมื่นไร่ เพื่อให้ทันเปิดเหมืองในปีหน้า นายสุวิทย์กล่าว   

/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/

นายเดชา  คำเบ้าเมือง  ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ศสธ.)
ตู้ปณ. 14 อ.เมือง จ.อุดรธานี  41000
โทรศัพท์ : 081-3696266
อีเมล์ : decha_61@yahoo.com ; huktin.ud@gmail.com