ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

31 มกราคม 2554

โลกาภิวัตน์ ขบวนการคนหนุ่มสาว และ 20 ปี ของ ชนพ.


            ฟรานซิส   ฟูกูยามา  ได้เขียนไว้ ในหนังสือ “The End of History and the Last Man” ของเขาว่าโลกยุคปัจจุบันมาถึงช่วงของการสิ้นสุดประวัติศาสตร์แล้ว โลกซึ่งเจริญก้าวหน้ามาจากยุคดึกดำบรรพ์ สังคมชนเผ่า  มาถึงยุคเกษตรกรรม เรื่อยขึ้นมาผ่าน ระบอบราชาธิปไตย ขุนนาง จนมาถึงการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย และลัทธิทุนนิยม ที่ได้รับการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ดังที่เราเป็นอยู่ในทุกวันนี้     การประกาศของฟูกูยาม่า ซึ่งเป็นการประกาศชัยชนะของโลกทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่มีต่อโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์  ว่าบัดนี้โลกจะมีอุดมการณ์เดียวคือระบอบ"เสรีประชาธิปไตย เราจะมีประชาธิปไตยที่มั่นคง" กับ "ความเจริญรุ่งเรืองในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในระดับสูงสุด     ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุด วิวัฒนาการ เพราะเรา ได้บรรลุถึงอารยะธรรมสูงสุด  จะไม่มีความขัดแย้งทางอุดมการณ์และสงครามอีกต่อไป   แต่ทั้งนี้การแสดงความอหังการของฝ่ายเสรีทุนนิยมอาจจะผิดก็ได้  เพราะหลังเหตุการณ์ 9/11  โลกก็ได้เผชิญกับสงคราม ในอัฟกานิสถานและอีรัก   ดังที่ แซมมวล  ฮันติงตั้น  นักวิชาการฝ่ายขวาอีกคน ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Clash of civilization ว่าเป็นการปะทะกันของอารยะธรรมโลกเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตกกับอารยะธรรมอิสลาม   นอกจากนี้การเกิดขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์และการคัดค้านสงครามที่นำโดยสหรัฐอเมริกานับวันยิ่งขยายตัวมากขึ้นทุกที แสดงถึงว่าจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งไม่จริง เพราะโลกหาได้มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมตามที่ฝ่ายคลั่งทุนนิยมกล่าวถึง
            โลกปัจจุบันถือว่ามาสู่ยุคสิ้นสุดอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์ในฐานะชุดความคิดหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยม คอมมิวนิสต์  หรืออื่นๆ ดูจะล่มสลายไปหมด  โลกทุกวันนี้จึงไม่มีชุดความคิดที่จะนำพาการเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่จินตภาพโลกที่ดีกว่าเดิม  ความเป็นทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด    แต่ความสิ้นสุดของอุดมการณ์อาจจะมองได้อีกแง่มุมหนึ่งว่า แท้จริงแล้วอุดมการณ์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งถูกต้องอย่างนั้นหรือ  อุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ที่ก่อให้เกิดรัฐเผด็จการโดยพรรคในจีนและรัสเซีย  อุมดมการณ์แบบฮิตเลอร์   อุดมการณ์แบบเขมรแดง   อุดมการณ์ชาตินิยมที่ก่อให้เกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ  ทำให้อุดมการณ์ถูกตั้งคำถามว่าเป็นสิ่งเดียวที่แสดงออกถึงการมีจริยธรรมของมนุษย์ใช่หรือไม่  แต่การสิ้นสุดของอุดมการณ์และการสถาปนาทุนนิยมเสรี ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างความสุขแก่มวลมนุษย์ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะสิ่งที่ตามมาไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ขูดรีดแรงงานยังมีอยู่  การขูดรีดสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ  การเอารัดเอาเปรียบ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำสงครามเพื่อผลประโยชน์ของอำนาจทุน  ก็อาจจะทำให้อุดมการณ์ต่างๆที่เคยสูญสลายไป ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา  อุดมการณ์ในฐานะเครื่องมือชี้นำทางความคิดเพื่อไปสู่สังคมที่ดีกว่า   และขบวนการคนหนุ่มสาวที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาททั่วโลกในยุค 60-70 และลดบทบาทลงไปปัจจุบันก็เริ่มมีการฟื้นฟูบทบาทมากขึ้น   แต่ปัจจุบันของขบวนการหนุ่มสาวไทยจะดำเนินไปสู่หนใด
                คำถามถึงขบวนการคนหนุ่มสาวของประเทศไทย นำพาให้นึกถึงเหตุการณ์ขณะนั่งฟัง อดีตผู้นำนักศึกษาของอินโดนีเซีย เล่าถึง  ปัญหาการพัฒนาของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปัญหาหลายอย่างใกล้เคียงกับไทย  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการพัฒนาที่เน้นความทันสมัย ที่ทำให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวย ปัญหาโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ      ผมได้ถามเขาถึงกิจกรรมนักศึกษาในอินโดนีเซีย  เนื่องเพราะเขาเคยเป็นแกนนำนักศึกษาในการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของนายพลซูฮาร์โต  เขาเล่าว่าในช่วงที่ระบบซูฮาร์โตเรืองอำนาจ  เป็นระบบเผด็จการทหาร ที่ห้ามไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล  ห้ามพูดถึงปัญหาสังคมต่างๆ  บรรยากาศในมหาวิทยาลัยค่อนข้างเงียบ เพราะถูกควบคุม  อาจารย์มีหน้าที่สอนหนังสืออย่างเดียว   หรือไม่ก็ทำวิจัยหาเงินและเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มธุรกิจเอกชนมากกว่าการสอนนักศึกษา   ซูฮาร์โตใช้แนวทางพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่ประเทศมานับ 30 ปี   แต่ปัญหาที่ตามมาคือการเน้นการพัฒนาภาคเมือง ทำให้เมืองขยายตัวมากขึ้น  เกิดปัญหาชุมชนแออัดและคนจนเมือง ในชนบทก็พบปัญหาความยากจน และปัญหาการขาดแคลนที่ดิน   แม้ว่า GDP ของประเทศจะพุ่งสูงขึ้น แต่คนที่ได้ประโยชน์ก็มีแต่กลุ่มเครือญาติและพวกพ้องของซูฮาร์โต ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง   ปัญหาต่างๆก็สั่งสมมากขึ้น ทั้งปัญหาความยากจน  ปัญหาการคอรัปชั่น ปัญหาการขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ  และเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศเมื่อปี 2540  จึงทำให้เศรษฐกิจของประเทศล้มครืน อินโดนีเซียต้องขอกู้เงินจาก IMF เช่นเดียวกับประเทศไทย  ซึ่งยิ่งส่งผลกระทบต่อคนยากจนมากขึ้น  จึงทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น จนนำไปสู่การประท้วงใหญ่เพื่อให้ซูฮาร์โตลงจากอำนาจ  ทั้งนี้ในส่วนนักศึกษาแรกๆยังถูกควบคุม  จึงทำการเคลื่อนไหวประท้วงแต่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น  และยังไปช่วยชาวบ้านต่อสู้เรื่องปัญหาที่ดินทำกินอันเนื่องมากจาก ถูกแย่งที่ดินไปสร้างสนามกอล์ฟ  สร้างเขื่อน หรือไร่เกษตรขนาดใหญ่  จากนั้นจึงได้เคลื่อนไหวใหญ่ให้เกิดการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ พร้อมกับการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมให้แก่เกษตรกรและกรรมกร  เพราะระบบอำนาจนิยมแบบซูฮาร์โตไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน  การประท้วงได้ขยายลุกลามไปทั่วประเทศจนทำให้ซูฮาร์โตต้องลาออกจากประธานาธิบดี 
                ทั้งนี้หลังจากสิ้นสุดรัฐบาลซูฮาร์โต  ประเทศมีเสรีภาพมากขึ้น เขาเล่าว่า อุดมการณ์และแนวคิดสังคมนิยม หนังสือของพวกฝ่ายซ้ายในอดีต ที่เคยเป็นสิ่งต้องห้าม แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ นักศึกษา คนหนุ่มสาว  ทำให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองและการสนใจปัญหาสังคมของประเทศมากขึ้น   เมื่อพูดมาถึงตรงนี้  เขาได้ถามถึงนักศึกษาไทยปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร  โดยเขารับรู้มาว่าไทยเคยมีขบวนการนักศึกษาที่เข้มแข็งมาก่อน  ซึ่งผมก็ได้แต่บอกไปว่า นักศึกษาไทยปัจจุบันไม่ได้มีบทบาทต่อสังคมมากนัก  เขาถามว่าทำไม ผมเองก็ตอบยาก  แต่สรุปไปว่าสังคมไทยปัจจุบันมีเสรีภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ  แม้ว่าจะประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 40  แต่ประเทศก็ฝ่าข้ามมาได้ในเวลาไม่กี่ปี  ด้วยเหตุนี้ นักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่มีฐานะสุขสบาย และใช้ชีวิตแบบบริโภคนิยม จึงไม่ค่อยสนใจปัญหาสังคม มีความเป็นปัจเจกมากขึ้น   แต่เขาไม่เห็นด้วย  โดยมองว่าที่ประเทศของเขาก็มีลักษณะแบบเดียวกัน  แต่นักศึกษาก็ยังพอมีบทบาททางสังคมอยู่บ้าง การบอกว่าเพราะการพัฒนาทุนนิยมและบริโภคนิยมทำให้จิตสำนึกทางสังคมและการเมืองของนักศึกษาลดลงนั้นไม่น่าจะเพียงพอ  
                แน่นอนว่านี่คือปัญหาสำคัญในการถามถึงบทบาทนักศึกษาไทยปัจจุบัน เพราะแม้ว่ามีเสรีภาพ  มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่ก็ใช่ว่าปัญหาสังคมต่างๆจะหมดไป   ผมได้อธิบายไปว่านักศึกษาไทยปัจจุบันเกิดและเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังขยายตัวคือในช่วงปลายทศวรรษ 80  เป็นวัยรุ่นในช่วงปลาย 90 เข้าเรียนมหาลัยหลังปี 2000   ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟองสบู่ขยายตัวเต็มที่ ก่อนจะระเบิดในช่วงหนึ่ง  และเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้นมาอีก  ดังนั้นวิธีคิดแบบบริโภคนิยมและการมีชีวิตที่ดีในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจึงเป็นวิธีคิดหลักของลูกหลานชนชั้นกลาง   เด็กวัยรุ่นเหล่านี้เติบโตมากับห้างสรรพสินค้า  แฟชั่น  ดนตรีป๊อบ  โทรศัพท์มือถือ   ส่วนมหาวิทยาลัยก็ เป็นที่สำหรับลูกคนชั้นกลางที่มีสติปัญญาสูงและอาศัยความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ พาตัวเองเข้ามาเรียนได้มากกว่าลูกหลานคนจนหรือเกษตรกร     ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้มีรากทางวัฒนธรรม ขาดวินัย  ไร้แรงบันดาลใจในชีวิต     ไม่รู้สึกผูกพันกับใครนอกจากตัวเอง  มีแต่ตัวตนลอยๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับสังคมรอบข้าง  เข้ามาเรียนเพื่อปริญญา อันเป็นเครื่องมือในการดำรงอยู่ทางชนชั้นของตน  เรียนให้ได้คะแนนสูงๆ เพื่อจบออกไปทำงาน และต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต    ส่วนการแสวงหาความรู้และใช้ความรู้อำนวยประโยชน์ต่อสังคม เป็นเรื่องรอง    นักศึกษาไทยปัจจุบันจึงทำกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนาน จัดงานปาร์ตี้ กระโดดโลดเต้น ยักย้ายส่ายเอวยักไหล่ และขึ้นเวทีประกวดนางงาม นางแบบ มากกว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคมและการเมือง  เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวนอกจากนี้โลกาภิวัตน์ที่ครอบลงมาทำให้ ด้านหนึ่งนักศึกษามีเสรีภาพส่วนตัวที่จะทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีคนอื่นเกี่ยวข้อง และการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของปัจเจกบุคลที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นกับกฎเกณฑ์ใดๆ  การหล่อหลอมของจิตสำนึกจึงแยกตัวออกจากส่วนรวม  แยกตัวจากรากฐานวัฒนธรรมเดิม  เหลือแต่เรือนร่าง ตัวตนทางกาย ที่ปรุงแต่ง อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับตลาดและการทำให้เป็นสินค้าของระบบทุนนิยม  นักศึกษายุคใหม่จึงมีตัวตนที่เหมือนๆ กัน แต่งกายเหมือนกัน กินอยู่คล้ายกัน บริโภคคล้ายกัน มีตรรกะและระบบคิดเหมือนกัน เงียบเหงาและเปราะบางทางอารมณ์   แต่ทั้งนี้ผมก็ได้บอกว่าไม่ใช่นักศึกษาไทยจะถูกครอบทั้งหมด นักศึกษาหลายคนมีความคิดที่แหวกออกมาจากกรอบ  มีความเห็นออกเห็นใจผู้อื่น   นักศึกษาหลายคนพยายามแสวงหาการเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อสังคม หลายคนออกมาทำกิจกรรมทางสังคมและร่วม เคลื่อนไหวกับชาวบ้านที่ประสบปัญหา   แต่ภายใต้กระแสวัฒนธรรมบริโภคที่เชี่ยวกราก จิตสำนึกทวนกระแสจึงเป็นสิ่งที่งอกเงยได้ยาก  และทั้งหมดนี้จึงทำให้นักศึกษาไทยมีบทบาททางสังคมลดลง
                หลังจากวันนั้นผมมานั่งคิดดูอีกที    การวิเคราะห์โครงสร้างที่ครอบลงมาทำให้นักศึกษามีจิตสำนึกทางสังคมลดลง นั้นเป็นจริงหรือไม่  หรือเรากำลังมองข้ามอะไรไปบางอย่าง   Naomi   Clien  ผู้เขียนหนังสือ  Nologo  ในฐานะที่เป็นคัมภีร์ของผู้ต่อต้านโลกาภิวัตน์  ได้กล่าวถึงบทบาทของคนหนุ่มสาวทั่วโลกที่ประท้วงการประชุม WTO  ที่ซีแอตเติ้ล  สหรัฐอเมริกาว่า   คนหนุ่มสาวเหล่านี้ เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการฝ่ายซ้ายในยุค 60 – 70 แต่เป็นกลุ่มคนที่เห็นความไม่เป็นธรรมที่รัฐและกลุ่มทุนข้ามชาติสร้างไว้ในนามของกลไกตลาดเสรี จึงออกมาประท้วงต่อต้านโลกาภิวัตน์     การประท้วงที่ซีแอตเติ้ลไม่ได้ใช้วิธีการประท้วงแบบชูมือเรียกร้อง หรือเสนอคำขวัญประเภทโค่นล้ม แต่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ (New Social  Movement ) ที่ก้าวพ้นไปจากความเป็นชนชั้น มีวิธีการประท้วงที่หลากหลาย   เช่น การแสดงละคร  การแต่งแฟนซี การใช้ศิลปะ การใช้สื่ออินเตอร์เน็ต มาเป็นแนวทางในการแสดงออก   ซึ่งเป็นการแสดงศักยภาพของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ผูกติดกับขบวนเคลื่อนไหวในยุคอดีตจนมองข้ามศักยภาพของคนรุ่นตน และหลังจากนั้นการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์โดยคนหนุ่มสาวก็ขยายไปทั่วโลก   มันจึงทำให้ผมคิดได้ว่าแท้จริงจิตสำนึกที่ดีงามเป็นสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของคนหนุ่มสาวอยู่แล้ว   เพียงแต่เราจะกระตุ้นและปลุกเร้ายังไง   การสิ้นสุดของอุดมการณ์เป็นการสิ้นสุดของระบบความคิดที่คับแคบ หยาบกระด้างของระบบคิดหนึ่งเท่านั้น  แท้จริงเรายังมีระบบคิดที่ก้าวลึกไปถึงจิตวิญญาณ ศีลธรรมและจริยธรรมอีกมากมายในการสร้างสรรค์โลก             เฉกเช่น ในเวทีสมัชชาสังคมโลก( World Social Forum)  ที่อินเดียในหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการเสนอคำขวัญที่ว่า โลกใบใหม่ที่เป็นไปได้”(  อันจะเป็นการตั้งคำถามต่อระบบทุนนิยมเสรีว่าเป็นคำตอบสุดท้ายเท่านั้นฤา  หรือว่าเรามีทางเลือกอื่นๆมากกว่าระบบทุนนิยมในการสร้างสังคมที่ดีงาม)
                แม้ว่าอุดมการณ์ในยุคปัจจุบัน ดูจะเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไร้ค่า และหนักสมอง ของคนรุ่นใหม่   แต่  ชนพ.  ในฐานะที่เป็นกลุ่มกิจกรรมของนักศึกษาคนหนุ่มสาว ซึ่งได้ดำเนินกิจกรรมมาจนครบ 20 ขวบปี   ทำกิจกรรมทั้งลงไปเคลื่อนไหวกับชาวบ้าน ทั้งออกค่ายอาสา และกิจกรรมอื่นๆอีกหลายรูปแบบ อันเป็นการนำพาเราไปสัมผัสกับคนยากคนจน คนด้อยโอกาส เพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตมนุษย์บนหนทางแห่งการสร้างสรรค์ตนเองต่อสังคมถือได้ว่า เรามีต้นทุนทางสังคมที่ดี เรามีศักยภาพที่อัดแน่นและเปี่ยมล้นอยู่ภายใน ที่จะทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  เรามีสำนึกที่สืบทอดมาแต่ยุคอดีตหลอมรวมกับศักยภาพแห่งปัจจุบันเพื่อมุ่งมั่นสู่อนาคต ของการเป็นกลุ่มกิจกรรมที่สร้างสรรค์สังคม   แต่ ชนพ.จะหลอมรวมความคิดและการปฏิบัติในการสร้างสรรบทบาททางสังคมของตนเองก้าวไปพร้อมกับขบวนการคนหนุ่มสาวของโลกยุคใหม่อย่างไรนั้น   หนุ่มสาวผู้นำพา  ชนพ. ก้าวสู่ทศวรรษที่สาม จะเป็นผู้ไขคำตอบเอง

ใบตองกุง..................

ชุมนุมนักศึกษาเพื่อการพัฒนา  ( 2537 – 2540 )

สักวา ชนพ.











                                               สักวา ชนพ. ใครก่อตั้ง
จึงอยู่ยั้งยืนยงคงศักดิ์ศรี
อาจรุ่น 1”2”3” พาทำดี
หรือรุ่น 4”5”6” ขึ้นปกครอง
อาจเพราะท่านที่ปรึกษาสายตากว้าง
เป็นดั่งเทียนเพียรสร้างนำทางส่อง
ชี้ถูกผิดแก้ไขให้ครรลอง
เราทั้งผองจึงหล่อหลอมพร้อมวิญญู
รุ่น 7”8”9”10” ร่วมสานต่อ
รุ่น 11” ขยายหน่อการต่อสู้
รุ่น 12”13”14” ศิษย์มีครู
รุ่น 15”16” รู้เรายอดคน
รุ่น “17”18” ล้วนเก่งกล้า
รุ่น 19” ฟันฝ่าพาฝึกฝน
รุ่น 20”21” นำมวลชน
ไม้ใกล้ต้นรุ่น 22” น้องก้าวมา
รุ่น 23” ปัจจุบันฝันยังใหม่
แต่หัวใจเชื่อนักน้องสูงค่า
เป็นผู้น้อยค่อยเรียนรู้ผู้นำพา
มั่นใจว่าเธอยิ่งใหญ่ไม่นานวัน
อาจบางทีวิถีพาให้แกร่ง
มรรคาการปันแบ่งหล่อแรงฝัน
เช่นชะตาลิขิตเราให้ผูกพัน
จึงเชื่อมั่นแต่อ่อนหวานในท่าที
จะอะไรนำพามาก็ช่าง
ก่อนหัวใจเคยรกร้างห่างราศี
ชนพ. สอนสั่งทางวิธี
ฉันจึงมีเกียรติยศประดับตน
สักวายืนยันว่าฉันรัก
ชนพ. แน่นหนักสักหมื่นหน
บ้านที่สอนวิชาค่าแห่งคน
ในฐานะดอกผล ชนพ.


ดอกผล ชนพ.
วสุ ห้าวหาญ
ธันวาคม 2549