ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

14 กุมภาพันธ์ 2554

หมาขี้เรื้อน


                แทบจะเป็นกิจวัตร์ที่ผมจะต้องเข้าดูอีเมล์ ก่อนปฏิบัติภารกิจในงานประจำ ในเมล์จำนวนมากมายมหาศาล ที่มีทั้งสาระ  ไร้สาระ  ตื่นเต้น  เศร้าโศก เลือดท่วมจอ บทรักอีโรติกหวานชื่น และสารพัดที่เชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ในโลกของเทคโนโลยี มักจะได้สัมผัสเสมอ และบังเอิญได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่ง ซึ่งก็ต้องอ่าน  อ่าน เมื่อพิจารณาดูก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ข้างใน จึงอยากนำออกจากโลกไซเบอร์ มาให้ได้อ่านกัน เรื่องมีอยู่ว่า…..
                ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก  ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน  เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆ จากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้  เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง เสร็จแล้ว  ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน  พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี  มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน  แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน  ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ยกหูชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ  วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน  ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง  เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี   ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา   ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที   ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้…โอ้ชีวิต!!!
                ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง  มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด  มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู  นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ   อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆ ครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง   วันๆ ไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน  การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง    เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย  รวมทั้งเสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย    อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขา  ให้คนอื่นเขาดูถูก   หนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น  พระใหม่เสนอ    ให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้   สอนให้มากขึ้น   เทศน์ให้มากขึ้น  และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรด้วยตนเองเป็นต้น   ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า      
                เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย   ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง   แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน  อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ  เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่  เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นาน  เพราะมันคัน  แต่พวกเธอรู้ไหมเจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ  หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง  นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน   สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี  คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน  แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน    เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่าเจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่   แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก   พูดจบแล้วหลวงพ่อก็นั่งสงบนิ่งเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนาเจริญสติแล้ว
                หลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว  ขณะที่พระทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น  ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ภายในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู  ยิ่งนั่งสมาธินานๆ  ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ  ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง  นับแต่วันนั้น เป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน  จากคนพูดมาก  กลายเป็นคนพูดน้อย  จากคนที่หยิ่งยโส  กลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน  จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่น  กลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง  เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจของครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครู-บาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุ กราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ พลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่าหมาขี้เรื้อนของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ  
                ท่านที่รักครับถ้าเรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ย้ายที่ไปตรงไหน เราก็บ่นว่าสถานที่เหล่านั้นสกปรกสิ้นดี ไม่น่าอยู่เลย อะไรๆ ก็ไม่เหมาะสมกับตัวเรา ทำให้หาความสุขสงบไม่ได้….จงหันมองตัวเองเถิด อย่ากล่าวโทษคนอื่นหรือกล่าวโทษสถานที่อยู่เลย  แล้วท่านจะมีความสุข ความพอเพียงในการดำรงชีวิต….


                                                                          *****************
                                                                                                                                     พี่กุ้ง cd # 4
                                                                                            อดีตประธาน ชนพ.(นานแล้ว)

12 กุมภาพันธ์ 2554

รูปแบบการออกค่าย

          การเรียนถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ รับผิดชอบให้สุดๆ การออกค่าย ถือเป็นการแสดงสปิริต ความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างสุดๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้นทำให้ผมกับเพื่อน ต่างสาขากัน ชอบเป็นชีวิตจิตใจ จนนำไปสู่การแข่งขันออกค่าย ท้ายสุดเพื่อนผมเขาชนะขาด เพราะอะไร..........เพราะเขายอม... ยอมเรียนไม่จบรุ่น...(เป้อ..ว่างั้นเหอะ)
            การออกค่ายที่ผมพบเห็นมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญคือรูปแบบหรือจุดมุ่งหมายของสมาชิกค่าย และเป็นไปตามนโยบายชื่อค่าย ซึ่งพอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้
            1.การออกค่ายทั่วไป มักออกมาในรูปแบบการสร้างถาวรวัตถุ เช่น ฝายกั้นน้ำ(ค่ายของชาววิดวะ) สร้างศาลา,โรงเรียนห้องสมุด เป็นต้น โครงงานที่เสนอไป ไม่มีการแลกเปลี่ยน หรือศึกษาข้อมูลทั่วไปในหมู่บ้านกับชาวบ้าน ทำให้ไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงของชาวบ้าน อีกทั้งโลกทัศน์    ภูมิปัญญาต่างๆ ของชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ มักถูกมองข้ามไป ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่นปัญหาฝ่ายน้ำล้นรั่ว ดินทรุด อุปกรณ์ชำรุดหรือเสียแล้วไม่งบซ่อมบำรุง รักษา เป็นต้น แน่นอนว่ามุมมองทางวิชาการ แนวทางการสร้างทางวิศวะกับปัญหาความเป็นอยู่ของชาวบ้าน อาจจะสวนทางกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นลักษณะประชาสังเคราะห์ มีปัญหาขาดแคลนอะไร หน่วยงานประชาสงเคราะห์ไปแจก ไปบรรเทาทุกข์ เป็นต้น ลักษณะขายผ้าเอาหน้ารอด (หรือผักชีโรยหน้า) ไว้ก่อน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมจะเกิดให้เกิดปัญหาเรื้อรัง ต่อไปอย่างไมมีวันจบสิ้น

            2. การสร้างวัตถุ  ศึกษาสภาพหมู่บ้าน สังคมด้วย
            รูปแบบนี้มีมากในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะของคณะทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  การออกค่ายของชมรม ชุมนุมต่างๆ เหล่านี้เป็นการนำเอารูปแบบการสร้างสิ่งต่างๆ เช่น ศาลา โรงเรียน รั้ว ห้องสมุด สนามกีฬา ฯลฯ ผสมผสานกับการศึกษาแบบทั่วไป (โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่เรียนศึกษาชุมชนหรือ เรียนมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา) ของพื้นที่ ที่สร้าง ทั้งปัญหาต่างๆ ของชุมชน ความเป็นมาของชุมชน สภาพเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเข้าใจปัญหาต่างๆ ของชุมชน,ความเป็นมาของชุมชน,ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ แล้ว  ยังจัดแบ่งความชัดเจนในการศึกษาออกค่ายด้วย เช่น โครงงานเกษตร โครงงานอนามัย โครงงานศึกษา โครงงานศึกษาชุมชน เป็นต้น สิ่งต่างๆ เพื่อเป็นการเข้าใจปัญหาต่างๆ ของชุมชนแล้วยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชาวบ้านอีก มีการสร้างความสัมพันธ์ต่างๆ ทำให้อาสาสมัครที่ออกค่ายได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์โดยตรงกับชาวบ้าน ชาวบ้านมีความรู้สึกสนิทสนม           มีความสัมพันธ์มากขึ้นตามลำดับ ชาวบ้านรู้สึกว่าชาวค่ายเป็นส่วนหนึ่งของชาวบ้านและชุมชน ชาวค่ายตั้งใจจะเข้าไปแลกเปลี่ยนปัญหา เข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชุมชน กับความต้องการของชุมชนได้พอสมควร

            นอกจากนี้ ชาวค่ายยังมีโอกาสเข้าใจถึงปัญหาที่จริงของชาวบ้าน(เป็นการเตรียมตัว เตรียมใจ เรียนวิชามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ของน้องที่ยังไม่เรียนอีกด้วย)

            3. ศึกษาชุมชน
            ทำกันในหมู่ของนักกิจกรรมที่มีประสบการณ์งานค่ายมาพอสมควร ถือเป็นการพัฒนาค่ายอาสาอาจจะเป็นสูงสุดของงานค่ายอาสา ค่ายนี้มุ่งเน้นการเก็บข้อมูล ศึกษาข้อมูลสภาพทั่วไปของหมู่บ้าน สังคมนั้นๆ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน ทัศนะต่างๆ ของชาวบ้านกับชาวค่าย จะได้ข้อมูลที่ชัดเจน ทำให้เข้าใจสภาพปัญหา ความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้าน(Holism ถือเป็นการมองที่เป็นระบบ ภาพรวมขององค์ความรู้) ความเป็นอยู่ของชุมชนเหมือนกับการเป็นคนในชุมชนหรือชุมชนนั้นๆ (ถ้าอยู่กันหลายวัน) นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับชาวค่ายจะมีมากขึ้นด้วยตามลำดับ แน่นอนสิ่งที่ได้เห็นและสิ่งที่ได้มักออกมาในรูปของข้อมูล ความรู้ ลักษณะที่เป็นนามธรรมซะมากกว่า  
            สรุปแล้วที่ผ่านมา การออกค่ายไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาชนบทหรือชุมชนในพื้นที่แต่ประการใด แต่เป็นการกระตุ้นส่งเสริม สนับสนุนการทำงานร่วมกับชาวบ้าน ทั้งในรูปแบบการสร้างวัตถุ การศึกษาให้ชาวบ้านมีจิตสำนึก เข้าใจความเป็นจริงในสังคม อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับชาวค่าย(ส่วนมากเป็นภาพนักศึกษา) สิ่งต่างๆ ที่ชาวค่ายนำไปให้กับชาวบ้านนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้านและชุมชน เป็นเพียงการไปบรรเทาทุกข์ ความเดือดร้อน เรื่องเล็กๆ เรื่องน้อยๆ เท่านั้นเอง นอกจากนี้ปัญหาที่ชาวค่ายก็ยังมีภาระหน้าที่อยู่ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญของชาวค่าย ปัญหาความไม่เข้าใจกันของชาวค่าย ความแตกต่างอุดมการณ์ แนวคิดกันซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญอีกประการและเรื่องบประมาณที่ทางค่ายได้มานั้นมักจะน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการในการออกค่าย (แท้ที่จริง มักจะถูกตัดงบให้น้อยลงอยู่แล้วทุกปี)
            การออกค่ายจึงถือว่าเป็นลักษณะงานสงเคราะห์มากกว่า และการพัฒนาตัวผู้นำ สมาชิก การออกค่าย  รูปแบบการออกค่ายจะเป็นอย่างไร กิจกรรมในการออกค่ายมีอะไรบ้าง อุดมการณ์จากกการที่ได้ออกไปสัมผัสกับสภาพชีวิตจริงของสังคม ก็ทำให้โลกทัศน์ ทัศฯต่างๆ กว้างขึ้นอีก แต่ในความคิด ความหวังต่อตัวผู้ออกค่ายขึ้นอยู่กับความหวังขอแต่ละคน ว่ามีมาก น้อยแค่ไหน  หรือเป็นเพียงการชักชวน หรือตามกันมา หรือเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและตนเอง
            การออกค่ายจริงอยู่ว่าเป็นการแสวงหาของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งเข้าหาสัจธรรม แต่ในส่วนหนึ่งไปล้มเหลว ผิดหวังในการออกค่ายครั้งต่อไป ความจริงแล้วการค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจตัวเองนี้แหละคือสิ่งสำคัญ ฉะนั้นการออกค่ายเป็นการสร้างจิตสำนึกอุดมการณ์ที่ถูกต้องและเป็นจริงของสังคมต่อตัวเองมากกว่า การพัฒนาคนเป็นมนุษย์ในตัวเอง มีความเป็นสำคัญที่สุด  และจะทำให้ค่ายแต่ละชมรมก้าวไป ตามจุดหมายที่วางเอาไว้อย่างสูงสุด เพื่อสมาชิกค่ายได้เตรียมกาย เตรียมใจ จิตสำนึกเดียวกันพร้อมที่จะพัฒนาต่อตัวเอง ต่อสังคม ต่อไป

อ่านเขียนและสรรหามาให้อ่าน
ญ้อ ณ นคร
1/ก.พ/ 2538