ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

22 กันยายน 2554

อำนาจ: ว่าด้วยมโนทัศน์ทางแนวคิดทฤษฎี

อำนาจ: ว่าด้วยมโนทัศน์ทางแนวคิดทฤษฎี[1]
ถิรนัย อาป้อง[2]
บทนำ    
เมื่อกล่าวถึงคำว่า “อำนาจ” คนส่วนใหญ่คงจะรู้สึกคุ้นเคยกับคำๆ นี้เป็นอย่างดีเพราะความสัมพันธ์ทางสังคมที่สะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจดูจะแทรกซึมแผ่ซ่านและปรากฏอยู่ในชีวิตทางสังคมวัฒนธรรมของเราทุกคนตั้งแต่ในจุดเล็กๆ ใกล้ตัวจนไกลตัวออกไป ความสัมพันธ์เชิงอำนาจปรากฏในหลายโครงสร้างสถาบันสังคมนับตั้งแต่ครอบครัว สถาบันการศึกษา สถานที่ทำงาน สถาบันเศรษฐกิจการเมือง รัฐ และกลไกปฏิบัติการของรัฐด้านอุดมการณ์ เช่นสถาบันการศึกษา ความเชื่อศาสนา สื่อ และกลไกรัฐด้านการบังคับ เช่น ศาล กฎหมาย คุก กองทัพ ตำรวจ และยังพบในความสัมพันธ์ทางสังคมในลักษณะต่างๆ  เช่น ระหว่างเพศ วัย ชนชั้น ชาติพันธุ์ คนชายขอบ (marginal groups)[3] อาทิ แรงงานข้ามชาติที่ลักลอบเข้าเมือง โสเภณี เด็กเร่รอน คนติดเชื้อเอดส์ ขอทาน คนพิการ เกย์และเลสเบี้ยน เป็นต้น
เมื่อมองไปรอบๆ ตัว ความสัมพันธ์ทางสังคมเชิงอำนาจดูจะเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ชิดกับเรามาก ซึ่งปรากฏอยู่ในปริมณฑลทั้งที่เป็นชีวิตในพื้นที่ส่วนตัวและชีวิตในพื้นที่สาธารณะ อำนาจกระจายอยู่รอบตัวมนุษย์ในสังคม ทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนในการสร้างอำนาจผ่านการตีความวาทกรรมเรื่องอำนาจ และเป็นผู้ใช้อำนาจในทางใดทางหนึ่งรวมทั้งเป็นผู้รับผลของอำนาจขึ้นอยู่กับบริบทความสัมพันธ์ทางสังคมของใครกับใครและอย่างไรในแต่ละสถานการณ์
นิยามความหมายเรื่องอำนาจนั้นได้รับการโต้แย้งและตีความอยู่ตลอดเวลา มนุษย์โดยทั่วไปดูเหมือนจะรับรู้และรู้จักคำว่า อำนาจ เพราะอำนาจเป็นแง่มุมหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่เรารับรู้และซึมซับความหมายของมันไว้โดยปริยาย เช่นเดียวกับที่มนุษย์เกิดและเติบโตในวัฒนธรรมหนึ่งๆ ก็จะรู้สึกคล้ายๆ กับว่าเข้าใจและปฏิบัติตามตรรกะของวัฒนธรรมนั้นอย่างอัตโนมัติ โดยที่อาจจะยังไม่สามารถอธิบายเรื่องวัฒนธรรมในลักษณะที่เป็นแนวคิดในลักษณะนามธรรมชัดเจนได้ กล่าวโดยสรุป มนุษย์โดยทั่วไปรู้จักและคุ้นเคยกับคำว่า อำนาจ ผ่านการปฏิบัติ และประสบการณ์ในชีวิตจริงของเขา แต่ยากที่พวกเขาจะอธิบายเรื่องราวและตรรกะของความคิดเรื่องอำนาจให้ชัดเจนอย่างเป็นระบบหรือสรุปเป็นความคิดเชิงนามธรรม ความหมายของอำนาจที่เป็นข้อสรุปสากลเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นนามธรรมตายตัวแบบหนึ่งเดียวจึงยังไม่มี และอาจจะหาไม่พบเลยก็เป็นไปได้ เนื่องจากความหมายของอำนาจอยู่ในกระบวนการของการประชันกันทางความคิด (contested views) เป็นสิ่งที่ถูกสร้างผลิตซ้ำและตีความใหม่ๆ โดยกลุ่มต่างๆ ในสังคมอยู่ตลอดเวลา (รัตนา, 2548)
ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจที่จะศึกษาสถานภาพ ทิศทางและสังเคราะห์มโนทัศเรื่องอำนาจในเชิงมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา เพื่อสามารถนำไปวิเคราะห์สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม
แม็กซ์ เวบอร์ (Max Weber)
เวเบอร์อธิบายว่าในการพิจารณาความสัมพันธ์ทางสังคมเราต้องเข้าใจคำหลักสองคำนี้คือหนึ่ง อำนาจ (Power) และสอง สิทธิอำนาจ (Authority) เวเบอร์ให้ความสำคัญกับสิทธิอำนาจซึ่งจะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ทางสังคมในสังคมสมัยใหม่
                อำนาจ (Power) คือ ความสามารถหรือศักยภาพของบุคคลหรือกลุ่มในสถานภาพหนึ่งๆ ที่จะกระทำการให้บรรลุเป้าหมายความตั้งใจของตนเอง แม้ว่าจะถูกต่อต้านจากบุคคลอื่น อำนาจเชื่อมโยงกับการยอมรับ/เกียรติยศ (prestige) คนที่มีอำนาจมากก็จะได้รับการยอมรับมาก บุคคลที่สามารถแสดงความต้องการของตนเองได้และความต้องการของตนเองเหนือกว่าความต้องการของผู้อื่นคือผู้มีอำนาจ มีนัยที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เท่ากันระหว่างผู้ที่มีอำนาจมากกว่ากับผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า หรือผู้มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ ดังนั้นโดยความหมายนี้อำนาจจึงมีความเกี่ยวข้องกับการครอบงำ (domination)
                สำหรับประเภทแบบแผนของอำนาจ เวเบอร์แยกออกได้เป็น 2 แบบ คือ อำนาจบังคับ (coercive power) กับ อำนาจชอบธรรม (legitimate power/authority) พื้นฐานของอำนาจบังคับตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้กำลังบังคับ ขาดความชอบธรรม ในขณะที่อำนาจชอบธรรมมีการบังคับใช้ (domination) ในลักษณะที่มีความชอบธรรมเพราะเป็นอำนาจที่ได้รับการยินยอมและเห็นชอบให้ใช้อำนาจจากผู้อยู่ใต้อำนาจ (Morison, 1995 อ้างใน รัตนา, 2548)
                สิทธิอำนาจ (Authority) คือ สิทธิโดยชอบธรรมที่จะคาดหวังให้ผู้อื่นเต็มใจเชื่อฟังคำสั่งของตน สิทธิอำนาจมีนัยของระเบียบกฎหมายหรือกฎระเบียบแอบแฝงอยู่ คำว่าสิทธิโดยชอบธรรมแปลว่าสังคมหรือกลุ่มยินยอมให้บุคคลได้รับอำนาจนี้ อำนาจอันชอบธรรมสัมพันธ์กับภาวะผู้นำ (leadership) เป็นสิทธิของผู้นำและเป็นความชอบธรรมที่คนอื่นๆ ให้การยอมรับ เช่น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตำรวจสามารถพกพาอาวุธปืนได้
เวเบอร์อธิบายว่าสิทธิอำนาจมีที่มาได้ 3 แบบ คือ[4]
                1. สิทธิอำนาจตามประเพณี (Traditional Authority) คือ การมีอำนาจตามที่ขนบธรรมเนียมประเพณีกำหนดไว้ สิทธิอำนาจในลักษณะนี้มีที่มาจากความเชื่อตามสังคมประเพณีดั้งเดิม และสังคมปัจจุบัน เช่น การยอมรับระบบบิดาเป็นใหญ่ในครอบครัว สิทธิอำนาจของพระสงฆ์ที่จะนำประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การออกคำสั่งของพ่อแม่ต่อลูก อำนาจของรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัยบางแห่ง การสืบทอดราชบัลลังก์ของกษัตริย์ เป็นต้น
2. สิทธิอำนาจบนรากฐานบุญบารมี (Charismatic Authority) เป็นสิทธิอำนาจอันเกิดจากคุณลักษณะของผู้นำที่มีบุญบารมีเป็นที่ปรากฏและยอมรับ เช่น ความกล้าหาญ ความมีจริยธรรม ความเสียสละ เป็นต้น เช่น ครูบาศรีวิชัย มหาตมคานธี คนทั่วไปต้องเห็นว่าผู้นำประเภทนี้มีบุญบารมีจึงจะเชื่อถือ
3. สิทธิอำนาจที่อยู่บนหลักเหตุผลหรือกฎหมาย (Rational Legal- Authority) หมายถึงอำนาจที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องตามหลักเหตุและผลหรือกฎข้อบังคับที่ถูกกำหนดเอาไว้ เช่น สิทธิอำนาจที่อาจารย์จะให้เกรดกับนักศึกษา สิทธิอำนาจที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำผิด สิทธิอำนาจที่ผู้พิพากษาจะตัดสินคดี เป็นต้น
เวเบอร์อธิบายว่าสิทธิอำนาจทั้งสามแบบเป็นแบบในอุดมคติจะไม่แยกจากกันเด็ดขาด ลักษณะของสิทธิอำนาจจะมีการผสมปนเปกัน บางทีสิทธิอำนาจก็มีฐานที่มามากกว่าหนึ่งแบบผสมกัน 
คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx)
                ในการก่อรูปทางสังคมนั้นทฤษฎีของมาร์กซเชื่อว่ามีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนล่างที่เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้สังคม มีวิถีการผลิตทางเศรษฐกิจ (mode of production) เป็นฐานสำคัญเป็นการกำหนดระบบการผลิตในแต่ละยุคสมัยของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สังคม โดยการจัดการ การควบคุม และการกระจาย ทรัพยากรทุน ที่ดิน เทคโนโลยี แรงงาน เป็นต้น ส่วนโครงสร้างส่วนบนประกอบด้วยการเมือง กฎหมาย และวัฒนธรรม (เช่น ศาสนา อุดมการณ์ ความเชื่อ ค่านิยม จารีตประเพณี ศิลปะ ดนตรี รสนิยม) มาร์กซเชื่อว่าโครงสร้างส่วนล่างมีอำนาจในการเป็นตัวกำหนดเนื้อหาและรูปแบบการแสดงออกของโครงสร้างส่วนบน กล่าวโดยสรุปคือ โครงสร้างส่วนบน (การเมือง กฎหมาย และวัฒนธรรม) เป็นเพียงภาพสะท้อนของโครงสร้างส่วนล่าง (เศรษฐกิจ)
                ในแต่ละสังคมยังประกอบไปด้วยชนชั้นที่สัมพันธ์กันในระบบการผลิตในระบบทุนนิยม ชนชั้นที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองคือ ชนชั้นนายทุน ทำให้ชนชั้นนี้มีอิทธิพลในการกำหนดเนื้อหาและรูปแบบของโครงสร้างส่วนบนมีผลต่อการครอบงำระบบการเมือง กฎหมายและวัฒนธรรมของประชาชนส่วนใหญ่ ให้หันมารับใช้หรือให้ความชอบธรรมแก่โครงสร้างส่วนล่างหรือระบบการผลิตแบบทุนนิยมนั่นเอง
                สำหรับเรื่องชนชั้นนั้นมาร์กซคลาสสิกมีวิธีการจำแนกจากความสัมพันธ์ทางสังคมของแบบวิถีการผลิต ระหว่างผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (ได้แก่ ทุน ที่ดิน และแรงงาน) ในระบบการผลิตหนึ่งๆ กับผู้ผลิต ซึ่งหมายถึงกรรมกร ผู้ยากไร้ที่จำเป็นต้องขายแรงงานให้กับผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตหนึ่งๆ ในสังคม คนกลุ่มแรกหมายถึงชนชั้นนายทุน ส่วนคนกลุ่มหลังหมายถึงชนชั้นกรรมมาชีพ หรือ กรรมกร ที่เป็นผู้ผลิต ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชนชั้นนี้เป็นความสัมพันธ์เชิงขัดแย้ง ไม่เท่าเทียมกันเนื่องจากชนชั้นกรรมมาชีพถูกกดขี่ขูดรีด เอาเปรียบแรงงานโดยชนชั้นนายทุน ในระบบการผลิตแบบทุนนิยม การครอบครองทรัพย์สินส่วนตัว (private property) เป็นหัวใจสำคัญของการนำไปสู่การเกิดชนชั้นและชนชั้นนำไปสู่การขัดแย้งเชิงอำนาจ ส่วนสาเหตุที่กรรมกรจำนวนมากยังคงยินดีที่จะอยู่ในระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยม เป็นเพราะเกิดจิตสำนึกจอมปลอม ทั้งนี้เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการผลิตในระบบทุนมีการควบคุมและครอบงำทางอุดมการณ์ที่ค่อนข้างทรงประสิทธิ์ภาพ ทำให้ชนชั้นกรรมมาชีพหลงใหลได้ปลื้มกับระบบทุนนิยมโดยไม่ตระหนักถึง หรือมองเห็นความสัมพันธ์ที่เอารัดเอาเปรียบของนายทุนผ่านระบบการผลิต
                ในความสัมพันธ์ที่เป็นปรปักษ์และขัดแย้งกันนี้ มาร์กซมองว่ารัฐก็มีบทบาทอยู่ด้วย แต่เป็นบทบาทในเชิงลบ กล่าวคือ รัฐเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำหน้าที่ครอบงำชนชั้นโดยการที่ชนชั้นหนึ่งครอบครองอำนาจในระบบการปกครองทางการเมือง ชนชั้นนายทุนคือชนชั้นที่ครองอำนาจนั้น ชนชั้นนายทุนใช้รัฐและสถาบันในสังคมครอบงำชนชั้นแรงงาน เมื่อความขัดแย้งรุนแรงถึงที่สุด ชนชั้นแรงงานก็จะทำการปฏิวัติเพื่อล้มล้างรัฐที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือครอบงำนี้ รัฐที่ยอมให้นายทุนเข้าครอบงำเป็นรัฐที่เสื่อมถอยหรือด้อยกำลังวังชา (Aron, 1967. อ้างใน สุภางค์, 2551)
                Turner ได้เรียบเรียงความคิดของมาร์กซในรูปแบบใหม่ สามรถสรุปเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ได้ดังนี้[5]
                1. ยิ่งการแบ่งปันสิ่งของหายากเป็นไปอย่างไม่เสมอภาคเท่าไร การขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มที่มีอำนาจและกลุ่มที่อยู่ใต้อำนาจในสังคมก็จะยิ่งมีมากขึ้น
                2. ยิ่งกลุ่มที่อยู่ใต้อำนาจตระหนักในผลประโยชน์ที่แท้จริงของพวกตนมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการที่เขาจะตั้งข้อสงสัยความชอบธรรมของระบบการแบ่งปันสิ่งของหายากนั้นมากขึ้น
                3. ยิ่งกลุ่มที่อยู่ใต้อำนาจตระหนักในผลประโยชน์ที่แท้จริงของพวกตนมากขึ้นเท่าไร และยิ่งเขามีความสงสัยในความชอบธรรมของระบบการแบ่งปันสิ่งของหายากในสังคมมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่เขาจะเข้าร่วมในการขัดแย้งอย่างเปิดเผย กับกลุ่มที่มีอำนาจของสังคมก็จะมีมากขึ้น
                4. ยิ่งสมาชิกของกลุ่มที่อยู่ใต้อุดมการณ์เดียวกันมากขึ้นเท่าไรและยิ่งโครงสร้างภาวะผู้นำทางการเมืองมีความก้าวหน้าพัฒนามากขึ้น การแบ่งเป้นกลุ่มที่มีอำนาจและกลุ่มที่อยู่ใต้อำนาจก็จะยิ่งมีมากขึ้น (หรือชัดเจนขึ้น)
                5. ยิ่งมีการแบ่งกลุ่มที่มีอำนาจ และกลุ่มที่อยู่ใต้อำนาจมากขึ้นเท่าไร การขัดแย้งก็จะยิ่งมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
                6. ยิ่งการขัดแย้งมีความรุนแรงมากขึ้นเพียงไร การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของระบบสังคม และการแบ่งปันสิ่งของหายากเสียใหม่ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ซี ไรท์ มิลส์ (C. Wright Mills)
                ซี ไรท์ มิลส์ ถือได้ว่าเป็นนักสังคมวิทยาชาวอเมริกันคนแรกที่รับเอาความคิดของมาร์กซ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วนักสังคมวิทยาอเมริกันจะนิยมความคิดของเวเบอร์ งานเขียนที่สำคัญของมิลส์คือ เรื่องชนชั้นผู้นำ (Power Elite: 1956) หรืออาจแปลได้ว่าหมายถึงคนระดับนำที่มีอำนาจ คือชนชั้นปกครองที่ประกอบไปด้วยนักธุรกิจ กลุ่มการเมือง และผู้นำทางการทหาร การใช้อำนาจของคนเหล่านี้เป็นการใช้อำนาจเชิงสถาบันมากกว่าส่วนบุคคล มิลส์ได้วิเคราะห์ว่ากลุ่มอำนาจทั้งสามที่รวมตัวกันเป็นชนชั้นผู้นำนี้ ขาดความรู้สึกรับผิดชอบ (accountability) ต่อประชาชน แต่พึ่งพาอาศัยกันเพื่อกุมอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ เป็นคนกลุ่มที่มีภูมิหลังทางสังคมและการศึกษาเหมือนกัน จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ผู้นำสูงสุดทางการทหารหรือนักธุรกิจที่รวยมากๆ จะกลายเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา คนเหล่านี้นอกจากจะยึดกุมอำนาจแล้วยังทำทุกอย่างเพื่อตนเอง (Slattery, 2003: 171-172 อ้างใน สุภางค์, 2551) งานชิ้นนี้ของมิลส์จึงเป็นงานที่วิเคราะห์ชนชั้นนายทุนในสังคมอเมริกันอย่างไม่เกรงใจใคร
ราล์ฟ ดาห์เรนดอร์ฟ (Ralph Dahrendorf)
                ดาห์เรนดอร์ฟเสนอแนวคิดนีโอมาร์กซิสต์ในเรื่องความขัดแย้ง สิทธิอำนาจ และกลุ่มสังคมดังนี้[6]
                1. ความขัดแย้ง (conflict) ในหนังสือเรื่อง Class and Class Conflict in Industrial Society (1967) ดาห์เรนดอร์ฟได้เสนอความคิดของเขาว่า สังคมดำรงอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของผลประโยชน์และความกดดันจากพลังบีบบังคับ ความขัดแย้งและความสมานฉันท์ (consensus) เป็นความจำเป้นพื้นฐานของกันและกันให้สังคมดำรงอยู่ได้ ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากการเป็นหรือไม่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต แต่อยู่ที่สิทธิอำนาจ (authority) ที่คนกลุ่มหนึ่งมีเหนือคนอีกกลุ่มหนึ่ง
                2. สิทธิอำนาจ (authority) อำนาจไม่ได้มีอยู่ในตัวปัจเจกแต่อยู่ที่ตำแหน่งในสังคมของบุคคล แต่ละตำแหน่งในสังคมมีอำนาจไม่เท่ากัน ผู้มีอำนาจ คือ ผู้มีอำนาจเหนือกว่า (superordination) เขาคาดหวังว่าจะควบคุมผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ (subordination) คนสองกลุ่มนี้มีผลประโยชน์ที่มีเนื้อหาและทิศทางที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้มีอำนาจเหนือกว่าจะรักษาสถานภาพตามที่เป็นอยู่ (status quo) ส่วนผู้ที่อยู่ใต้อำนาจจะแสวงหาความเปลี่ยนแปลง ทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชะนีที่ไม่เหมือนกัน ผลประโยชน์ประกอบด้วยผลประโยชน์แอบแฝง (latent interest) เป็นผลประโยชน์ตามบทบาทที่มิได้สำนึก กับผลประโยชน์ที่ปรากฏชัด (manifested interest) คือผลประโยชน์แอบแฝงที่กลายเป็นสิ่งที่มีความสำนึก
                3. กลุ่มสังคม กลุ่มสังคมมี 3 ระดับ ได้แก่ กลุ่มเสมือนกลุ่ม (quasi group) รวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว กลุ่มผลประโยชน์ (interest group) คือ กลุ่มที่มีแบบแผนพฤติกรรมทร่วมกัน เป็นตัวแทนที่แท้จริงของความขัดแย้ง ภายในกลุ่มจะประกอบด้วยโครงสร้าง ลักษณะองค์กร จุดมุ่งหมาย และสมาชิก และกลุ่มขัดแย้ง (conflict group) เป็นกลุ่มที่ดำเนินการต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม เมื่อความขัดแย้งถึงที่สุด การเปลี่ยนแปลงจะมีลักษณะรุนแรงและฉับพลัน
                ทฤษฎีความขัดแย้งของดาห์เรนดอร์ฟ ให้ชื่อโมเดลว่า Dialectical Conflict Perspective ในทัศนะของดาห์เรนดอร์ฟ องค์การสังคมคือ imperatively coordinated association เรียกย่อๆ ว่า ICA องค์การนี้มีขนาดต่างๆ อย่างองค์การสังคมโดยทั่วไป ตั้งแต่กลุ่มสังคม ชุมชน ไปจนถึงสังคมมนุษย์ องค์การแต่ละขนาดประกอบด้วยบทบาทจำนวนหนึ่ง แต่ละบทบาทจะมีอำนาจบังคับผู้อื่นจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในสายตาของดาห์เรนดอร์ฟ องค์การสังคมหรือไอซีเอของเขาเป็นเรื่องของความสัมพันธ์อำนาจและอำนาจในองค์การถือได้ว่าเป็นสิทธิอำนาจ (authority) เพราะบทบาทเหล่านี้เป็นตำแหน่งที่ยอมรับกันในองค์การ ดังนั้นความเป็นระเบียบทางสังคมจะดำรงอยู่ได้ก็โดย การพยายามซ่อมบำรุงกระบวนการสร้างความสัมพันธ์แห่งสิทธิอำนาจเอาไว้ สาเหตุของการขัดแย้ง และการเปลี่ยนแปลงในสังคม เกิดจากการที่บางครั้งอำนาจมีอยู่น้อย หายยาก กลุ่มย่อยต่างๆ ในไอซีเอจึงต้องแข่งขัน ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจอันน้อยนั้น (สัญญา, 2551)
ปีเตอร์ เบลา (Peter  Blau)[7]
                อันที่จริง สิ่งที่เราเรียกว่า ทฤษฎีอำนาจของเบลา ในที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีแลกเปลี่ยนใหญ่ที่นำมาใช้กับชีวิตสังคมโดยทั่วไปนั่นเอง ดังที่เราทราบเรื่องของอำนาจ (power) เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสังคมที่ขาดไม่ได้ สำหรับเบลาแล้วคนที่มีอำนาจ คือคนที่สามารถทำให้ผู้อื่นในความสัมพันธ์แลกเปลี่ยน ยอมตาม (compliance) เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้มีอำนาจสามารถ “ดึง” บริการอันเป็นประโยชน์เอาไว้ หรือลงโทษ คิดราคาค่าบริการแพงขึ้นได้ตามใจ ตามความคิดของเบลา บุคคลจะมีอำนาจขนาดต่างๆ กันได้ สี่ระดับดังนี้
                1. ยิ่งคนสามารถสนองคืนบริการแก่บุคคลผู้ให้บริการมีคุณค่าได้มากเท่าใด ผู้ให้บริการก็จะยิ่งไม่สามารถบังคับให้ผู้สนองบริการยอมตามได้เพียงนั้น
                หมายความว่า ผู้ให้บริการมีค่าจะมีอำนาจมากน้อยเพียงใดเหนือผู้สนองบริการ ขึ้นอยู่กับการที่ผู้สนองบริการจะสามารถตอบแทนบริการมีค่าของผู้ให้ได้มากน้อยแค่ไหน หากผู้ให้บริการมีค่าให้มาก แต่ผู้สนองใช้คืนได้น้อย ผู้ให้ก็มีอำนาจมาก ถ้าผู้สนองใช้คืนได้มาก ผู้ให้ก็มีอำนาจน้อย และถ้าผู้สนองใช้คืนได้หมดเลย (มีมูลค่าเท่ากัน) ผู้ให้ก็ไม่มีอำนาจเหนือผู้สนอง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับดังกล่าวนี้จึงมีลักษณะเป็นสหสัมพันธ์เชิงลบ (negative association)
                2. ยิ่งบุคคลสามารถหาแหล่งรางวัลเป็นทางเลือกได้มากเพียงใด ผู้ให้บริการมีค่าก็จะยิ่งไม่สามารถบังคับคนให้ยอมตามได้มากเพียงนั้น
                3. ยิ่งผู้รับบริการมีค่าสามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็ญผู้ให้บริการได้มากเพียงใด ผู้ให้บริการก็ยิ่งไม่สามารถบังคับให้ผู้รับบริการยอมตามได้มากเพียงนั้น คือ ถ้าผู้รับบริการสามารถใช้กำลังตอบโต้ผู้ให้บริการมีค่าได้แล้ว ผู้ให้บริการก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือผู้รับบริการได้
                4. ยิ่งผู้รับบริการมีความสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ไม่ต้องพึ่งพาบริการนั้นได้มากเพียงใด ผุ้ให้บริการก็ยิ่งไม่สามารถบังคับให้ผู้รับบริการยอมตามได้มากเพียงนั้น คือ ไม่สามารถจะก่อให้เกิดอำนาจขึ้นมาได้ ผู้ให้บริการก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือผู้รับบริการได้
                กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีอำนาจของ ปีเตอร์ เบลา กล่าวว่า อำนาจของบุคคล (compliance) เกิดจากบริการมีค่า เหนือบุคคลผู้ไม่สามารถตอบสนองทดแทน เหนือบุคคลผู้ไม่มีทางเลือกอื่น เหนือบุคคลผู้ไม่สามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ ตอบโต้ และเหนือบุคคลผู้ต้องพึ่งพาบริการนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ อำนาจเหล่านี้จึงเป็นอำนาจบังคับ เพราะเกิดในความสัมพันธ์ทางสังคม และอธิบายโดยอาศัยความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนที่วางหลักใหญ่ไว้ล่วงหน้า
อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci)
อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) (อ้างใน กาญจนา แก้วเทพและสมสุข หินวิมาน, 2551: 182) ได้อธิบายถึงอำนาจโดยใช้กำลังบังคับและการสร้างความยินยอมพร้อมใจ โดยการวิเคราะห์กลไกรัฐว่ามีลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือสำหรับกลไกด้านการปราบปรามนั้นจะหนักมือไปที่กลยุทธการใช้กำลังบังคับ (coercion) เช่น หากมีการเดินขบวนชุมนุมประท้วง ทางเลือกหนึ่งของชนชั้นปกครองก็อาจเป็นการใช้กำลังตำรวจบุกจับแกนนำผู้ประท้วงมาคุมขัง ฯลฯ อย่างไรก็ดี กรัมชีย้ำว่า ในการใช้กำลังบังคับเช่นนี้อาจได้ผลแบบชั่วคราว เนื่องจากว่ายิ่งมีการปราบปรามมากเท่าใด ก็ยิ่งมีกระบวนการต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ กรัมชีจึงสรุปว่า เส้นทางที่ชนชั้นปกครองมักใช้ควบคู่กันไปก็คือ กระบวนการสร้างความยินยอมพร้อมใจ (consent) โดยผ่านกลไกของรัฐด้านอุดมการณ์ อันถือเป็นกลยุทธ์ที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้ที่ถูกปกครองทั้งหลาย
อำนาจครอบงำ คือ การครอบงำของชนชั้นหนึ่งโดยใช้วิธีการทางการเมืองและอุดมการณ์ประสานเข้าด้วยกัน กล่าวคือ มีคนกลุ่มหนึ่งตั้งใจครอบงำคนอื่นและลักษณะการครอบงำเกิดขึ้นในระดับชนชั้น คือนำเอาวิธีทางการเมืองผสมเข้ากับเรื่องอุดมการณ์ ใช้วิธีทางการเมืองทำให้เกิดการยอมรับอำนาจเข้าไปเป็นส่วนสำคัญของอุดมการณ์ ทำให้เกิดสำนึกเรื่องชนชั้นตามอุดมการณ์ที่สอดใส่ การครอบงำนี้ปกติจะใช้การครอบงำทางการเมืองแต่วิธีการครอบงำที่ไม่ให้เกิดปัญหาต้องทำในระดับอุดมการณ์คนจะได้รู้สึกว่าไม่ถูกบังคับ อุดมการณ์จึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดการยอมรับชนชั้นที่เป็นคนส่วนใหญ่ การรักษาดุลระหว่างการบังคับกับการทำให้เกิดการยอมรับจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม บางสังคมก็จะบังคับมาก บางสังคมก็พยายามทำให้เกิดการยอมรับมาก สังคมที่บังคับมากคือ สังคมเผด็จการ และสังคมทุนนิยม ซึ่งกรัมชี่เห็นว่ารัฐเป็นเป็นตัวการสำคัญในการสร้างพลังบังคับ
กรัมชี่เสนอว่า อำนาจครอบงำ (hegemony) ต่างจากอำนาจบังคับข่มขู่ (coercion) เพราะเป็นอำนาจผ่านกระบวนการนิติบัญญัติหรือบริหาร แสดงออกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ใช้อำนาจครอบงำเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม ถูกใช้โดยชนชั้นปกครอง ปัญญาชนที่รับใช้นายทุนเข้าไปสู่ฐานะผู้นำทางวัฒนธรรมและได้รับการยอมรับจากมวลชน
กรัมชี่วิเคราะห์สังคมออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือรัฐผู้ใช้อำนาจในการบังคับ อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า ประชาสังคม (civil society) ส่วนนี้เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการยอมรับ กรัมชี่บอกว่าการยอมรับเกิดจากการครอบงำทางอุดมการณ์ที่สถาบันต่างๆ ในประชาสังคมสร้างขึ้นและรับไว้ กรัมชี่ระบุว่าประชาสังคมเป็นตัวครอบงำความคิดของพลเมือง สถาบันเหล่านี้ได้แก่ครอบครัว โรงเรียน สถาบันศาสนาและสื่อ ดังนั้นประชาสังคมจึงเป็นเครื่องมือในการปกครองครอบงำของชนชั้นนายทุน สภาพเช่นนี้จะเกิดขึ้นในประเทศพัฒนาที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเวลานาน ประชาสังคมในระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมทำหน้าที่ปกป้องทุนนิยมจากการปฏิวัติหรือการต่อสู้
                สำหรับกรัมชีนั้น อำนาจ ไม่เคยมีลักษณะแบบหยุดนิ่งหรือเกิดขึ้นแบบ ม้วนเดียวจบ (once and for all) ตรงกันข้าม ปฏิบัติการทางอำนาจจะอยู่ในรูปของ กระบวนการกลายมาเป็น (the process of becoming) เสมอ ซึ่งกรัมชีได้อธิบายสภาวการณ์ดังกล่าวในแนวคิด อำนาจนำ (hegemony) ซึ่งกรัมชีได้จำแนกกลยุทธ์ของการครอบครองอำนาจนำออกเป็น 2 ด้านด้วยกัน ได้แก่
                1) การครอบครองอำนาจนำทางการเมือง (political hegemony) หมายถึง การสถาปนาระบบการเมืองหนึ่งๆให้กลายเป็นระบบหลักของสังคม ฉะนั้นระบบการเมืองแบบอื่นๆ ก็จะหมดความชอบธรรมไปโดยปริยาย ซึ่งหากใครคิดขัดแย้งกับระบบหลักนี้ก็จะถูกมองในแง่ลบว่าเป็นปฏิปักษ์
                2) การครอบครองอำนาจนำทางวัฒนธรรม (cultural hegemony) หมายถึง กระบวนการสถาปนาวัฒนธรรมหลักหรือระบบความคิดหลักขึ้นในสังคม เพื่อนำไปสู่การสร้างความเห็นพ้องต้องกัน (consensus) ทั้งนี้ การผลิตและเผยแพร่วัฒนธรรมหลักดังกล่าวนี้ จะมีสื่อมวลชนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันความคิด จิตสำนึก ที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของมวลชน (กาญจนา   แก้วเทพและสมสุข หินวิมาน, 2551: 182)
การมีสำนึกซ้อน กรัมชี่เชื่อว่าการครอบงำด้วยอำนาจแบบ hegemony จะไม่สมบูรณ์ กรัมชี่ยืนยันว่าชนชั้นปกครองหรือชนชั้นครอบงำจะไม่สามารถครอบงำได้สมบูรณ์แม้ในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน เหตุผลที่ครอบงำไม่ได้เป็นเพราะเรื่องการมีสำนึกซ้อน คนสามารถที่จะมีสำนึกได้สองส่วน โดยเฉพาะชนชั้นแรงงาน สำนึกซ้อนจะเกิดขึ้นในชนชั้นแรงงานคือ ชนชั้นแรงงานจะมีสำนึกทั้งส่วนที่ถูกครอบงำโดยนายทุนและส่วนที่ถูกครอบงำโดยอุดมการณ์ปฏิวัติ ในสองส่วนนี้กรัมชี่กล่าวว่าในที่สุดแล้วสำนึกซ้อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่สังคมทุนนิยมจะถูกโค่นล้มและชนชั้นแรงงานจะสามารถสร้างอุดมการณ์ของกลุ่มขึ้นมาได้เอง
                การต่อสู้ทางชนชั้น กรัมชี่คิดว่าชนชั้นแรงงานเป็นชนชั้นที่น่าเห็นใจ เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะปฏิบัติการปฏิวัติไปได้ตามลำพัง ชนชั้นแรงงานต้องการคนมาช่วยเหลือและคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือชนชั้นแรงงานคือ ปัญญาชน ถ้าปราศจากกลุ่มปัญญาชนเข้ามาช่วยจะไม่เกิดการต่อสู้ทางชนชั้น กรัมชี่สรุปว่า ในที่สุดการต่อสู้ระหว่างชนชั้นจะเป็นการต่อสู้ระหว่างปัญญาชนในชนชั้นแรงงานกับปัญญาชนในชนชั้นนายทุน การต่อสู้ไม่ได้เป็นแบบนองเลือด แต่เป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจ
มิเชล ฟูโกต์ (Michael Foucault)
ฟูโกต์มองอำนาจเป็นความสัมพันธ์ในเครือข่ายของความรู้-อำนาจ อำนาจถูกกระทำจากหลายๆ จุดในโครงสร้างทางสังคม (social body) ไม่ได้มาจากจุดยอดของสังคม หรือไม่ได้มาจากการแบ่งขั้วของสังคมเป็นผู้ปกครอง-ถูกปกครอง ความสัมพันธ์ของอำนาจเป็นความสัมพันธ์พื้นฐาน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ขั้นสองที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ความรู้ หรือเพศ แต่แฝงฝังอยู่ด้วยกันกับความสัมพันธ์ดังกล่าว(ธีรยุทธ บุญมี, 2551)   
ฟูโกต์ได้ให้คำนิยามของ อำนาจแตกต่างจากที่เคยเข้าใจกันมาโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ อำนาจไม่ใช่แรงที่ใช้บังคับ แต่ทว่าเป็นกลวิธีเกี่ยวกับการทำหน้าที่แบบต่างๆ (Power is a strategy attributable to functions, disposition, manueur tactic technic) อำนาจนี้ไม่ได้เกิดมาจากมิติเศรษฐกิจ-การเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นเครือข่ายเล็กๆที่กระจายตัวในที่ต่างๆ (Indefinite network-micro-power) กล่าวคือ อำนาจไม่ใช่เรื่องที่นายทุนกระทำแก่คนงานหรือรัฐกระทำแก่ประชาชนเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องที่คนทุกคนต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับอำนาจไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นก็คือถ้าไม่เป็นผู้ใช้อำนาจก็ต้องเป็นผู้ถูกใช้อำนาจ และการนำเสนอที่เดินสวนทางกับความเข้าใจที่เคยมีมาเกี่ยวกับอำนาจก็คือ ฟูโกต์เสนอว่าอำนาจไม่เพียงแต่เก็บกดเท่านั้นหากแต่ยังสร้าง (creat) อีกด้วย และสิ่งสำคัญที่อำนาจสร้างขึ้นมาก็คือ ความจริงหน้าที่สำคัญของอำนาจจึงเป็นการสร้างความจริง (Truth Production) เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนมีอำนาจพูดจึงเป็นความจริงเสมอ ดังที่ฟูโกต์ได้พิสูจน์ให้เห็นอำนาจของแพทย์ นักวิชาการ การจิตวิทยา สถานพยาบาล ตำรวจ กฎหมาย ฯลฯ ในการความจริงเกี่ยวกับสุขภาพความปลอดภัยระเบียบ การศึกษา และอื่นๆ (กาญจนา แก้วเทพ, 2549)
การค้นพบหรือคุณูปการที่สำคัญที่สุดของฟูโกต์ก็คือ การเชื่อมโยงการศึกษาเรื่องความรู้-อำนาจเข้ากับการควบคุมชีวิตมนุษย์ในโลกยุคสมัยใหม่ทัศนะเสนอ (thesis) ที่สำคัญของฟูโกต์ก็คือโลกยุคสมัยใหม่คือการเปลี่ยนแปลงความคิดรูปแบบกลไกของอำนาจ จากการใช้อำนาจอย่างสมบูรณ์ (absolute) ขององค์อธิปัตย์ (sovereignty) ในการกำหนดชีวิต (ให้ชีวิตหรือทำลายชีวิต) มาเป็นอำนาจในการกำกับดูแล บริหารจัดการ 2 สิ่งคือ
1) การกำกับบริหารจัดการร่างกายและกายวิภาคของคน (anatomo-politics of human body)
2) การกำกับดูแลบริหารจัดการเรื่องชีวิตของประชากรในรัฐหรือสังคมนั้นๆ (biopolitics of the population)
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้และกลไกในการพัฒนา (development) กำกับดูแล (supervision) การบริหาร (administration) การจัดการ (management) การแทรกแซง (intervention) ในมิติต่างๆ ของคนและประชากรอย่างกว้างขวาง เช่น ด้านวินัยและการลงโทษ การกำกับเรื่องเพศของปัจเจกบุคคลและองค์รวมคือประชากร เป็นต้น และอำนาจหรือการปกครองในยุคสมัยใหม่ก็คือ มิติของการปกครองด้านจิตใจหรือจิตวิญญาณต่อบุคคล (pastoral power) ซึ่งอำนาจเชิงวิญญาณนี้ หมายถึง การที่อำนาจสมัยใหม่ดึงเอาความเป็นตัวตน และความเป็นบุคคลของมนุษย์ให้เด่นชัดออกมา อำนาจแบบนี้อาศัยทั้งความเต็มใจ ความรู้ ความรู้ตัวเอง และการยอมรับว่าความรู้นี้เป็นของปัจเจกบุคคลจริง รูปแบบอำนาจนี้ถูกใช้ในชีวิตประจำวัน โดยการจำแนกประเภทให้กับบุคคล บ่งความเป็นปัจเจกชนให้กับเขา ผูกพันตัวตนของเขาเข้ากับอัตลักษณ์ กดครอบกฎเกณฑ์ความจริงให้กับเขา ซึ่งเขาต้องยอมรับ และคนอื่นก็ต้องยอมรับว่าดำรงอยู่ในตัวเขาด้วยเช่นกัน (ธีรยุทธ บุญมี, 2551: 176)
                ฟูโกต์ นำแนวคิดเรื่องอำนาจมาผูกโยงกับแนวคิดอื่นๆ เช่น ความรู้ ความจริง ประวัติศาสตร์ กิจกรรมที่กระทำอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องมองดู การใช้อำนาจบนร่างกาย รวมทั้งเรื่องอำนาจกับอัตลักษณ์ เช่น เมื่อเราเข้าไปเป็นคนใช้หรือติดคุกเราก็จะถูก รื้อถอนอัตลักษณ์เดิมออกไปด้วยกลวิธีต่างๆ เช่น เปลี่ยนชื่อของเราเป็นหมายเลข ถอดเครื่องแต่งตัวออกเป็นสวมชุดนักโทษ เมื่อถูกถอดถอนอัตลักษณ์เดิมออกไปก็เท่ากับเราได้ถูกปลดอำนาจออกไปด้วยโดยปริยาย เป็นที่น่าสนใจว่าคนไทยมีความคิดเรื่อง ศักดิ์ศรีอยู่มากซึ่งอาจจะเทียบเคียงได้กับเรื่องอำนาจและอัตลักษณ์ (กาญจนา แก้วเทพ, 2549)
                ในกรณีความสัมพันธ์ระหว่าง อำนาจกับความรู้นั้น ฟูโกต์ได้ปฏิเสธคำนิยามของคำว่า ความรู้ ตามที่เคยเข้าใจกัน ไม่ว่าจะหมายถึง สิ่งที่มนุษย์เราได้รู้ สิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเอาชีวิตรอด ฯลฯ ฟูโกต์เห็นว่าอำนาจต่างหากที่ทำให้สิ่งหนึ่งๆกลายเป็น ความรู้ กลายเป็น สัจธรรม ขึ้นมาได้หรือกล่าวให้ง่ายที่สุดก็คือ สิ่งที่ผู้มีอำนาจพูดนั้น คือสิ่งที่ถูกต้องและเป็นความรู้ ดังนั้นเมื่อเราได้ยินเสียง Voice-over ในโฆษณาผงซักฟอกที่ต้องเป็นเสียงผู้ชายกำลังแนะนำให้แม่บ้านที่ดูมึนงงแบบโง่เขลาอยู่กับการซักผ้าให้สะอาด ก็หมายความว่า เพราะผู้ชายมีอำนาจ ข้อความที่เขาแนะนำจึงเป็นความรู้และถูกต้อง ในทางกลับกันเมื่อเกิดความรู้ขึ้นมาแล้วความรู้นั้นก็หวนกลับไปพิทักษ์ส่งเสริมอำนาจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดังกรณีของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย อำนาจเป็นสิ่งที่มีพลวัตและหากจะธำรงรักษาอำนาจไว้ก็ต้องมีการปฏิบัติการการใช้อำนาจ (Exercisepower) อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดคุณนายในละครโทรทัศน์จึงต้องดุด่าว่าคนใช้อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จำเป็น หรือพระเอกละครโทรทัศน์ต้องกระชากนางเอกมาจูบเป็นประจำ อย่างไรก็ตามเนื่องจากอำนาจเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครและที่ใดมีการใช้อำนาจที่นั้นก็ย่อมมีการต่อต้านอำนาจเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว (กาญจนา แก้วเทพ, 2549)
                สรุปได้ว่า อำนาจในแนวคิดหลังสมัยนิยมเป็นความสัมพันธ์ในเครือข่ายของความรู้-อำนาจ-ความจริง-ประวัติศาสตร์ และถูกกระทำได้จากหลายๆ จุดในโครงสร้างทางสังคม อำนาจไม่เพียงแต่กดทับเท่านั้นหากแต่ยังสร้างอีกด้วย และสิ่งสำคัญที่อำนาจสร้างขึ้นมาก็คือ ความจริง รูปแบบอำนาจนี้ถูกใช้ในชีวิตประจำวัน โดยการจำแนกประเภทให้กับบุคคล บ่งความเป็นปัจเจกชนให้กับเขา ผูกพันตัวตนของเขาเข้ากับอัตลักษณ์ กดครอบกฎเกณฑ์ความจริงให้กับเขา ซึ่งเขาต้องยอมรับ และคนอื่นก็ต้องยอมรับว่าดำรงอยู่ในตัวเขาด้วยเช่นกัน

บทสรุป
                อำนาจเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งตายตัว แต่เลื่อนไหลไปมาบนพื้นที่ของสังคม อำนาจไม่ได้ผูกขาดเบ็ดเสร็จโดยกลไกอำนาจรัฐที่ใช้บังคับ มันไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าไปยังจุดที่เล็กและที่คุ้นเคยที่สุดและจุดที่มีขอบข่ายที่กว้างที่สุดในความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มันอยู่ทุกที่ อำนาจไม่ได้เป็นสมบัติของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มันเป็นของทั้งคนจนและคนรวย เป็นของผู้อ่อนแอและเข้มแข็ง อำนาจเป็นองค์ประกอบที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนที่เป็นทางการกับไม่เป็นทางการในการสร้างระบบการควบคุมทางสังคมและการผลิตวัฒนธรรมอำนาจ รูปแบบของการใช้กำลังบังคับ และความรุนแรงล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตของประดิษฐกรรมหรือสร้างวัฒนธรรมในแต่ละสังคม ในทางกลับกันการใช้กำลังบังคับและความรุนแรงก็เป็นสัญลักษณ์ทางสังคมที่สะท้อนเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
                จากการทบทวนเอกสารต่างๆ มโนทัศน์เรื่องอำนาจในการศึกษาทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยายังเป็นประเด็นที่ไม่มีข้อยุติ และยังเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงทางวิชาการอยู่มาก รวมทั้งยังเป็นประเด็นที่เปิดกว้างต่อการประชันด้านความหมายและการตีความใหม่ๆ คล้ายกับมโนทัศน์ในเรื่องวัฒนธรรม มโนทัศน์เรื่องอำนาจ (power) การครอบงำ (domination) และอำนาจอันชอบธรรม (authority) ซึ่งยังไม่ได้มีความหมายที่สัจจะเป็นหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์ในตัวของมันเอง หากแต่มีลักษณะของความหมายที่แยกย้ายเป็นเศษเสี้ยว มีการขยายความโดยการตีความของคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแสดงตัวตนและปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง และมีการผลิตซ้ำ ขยายความ และสร้างขึ้นใหม่ๆ เพื่อช่วงชิงความหมายนำในการอธิบายอยู่ตลอดเวลา
                มโนทัศน์เรื่องอำนาจได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับมโนทัศน์ในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิ อัตลักษณ์ ชนชั้นทางสังคม และการเคลื่อนไหวทางสังคมในการศึกษาวิจัยทางด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยามากมาย เช่นการศึกษาเกี่ยวกับคนชายขอบ เรื่อง เสียงจากคนชายขอบโดยทวิช  จตุวรพฤกษ์ การนำเสนอตัวตนของหญิงบาร์เบียร์ ของโสภิดา วีรกุลเทวัญ โลกของคนไร้บ้านของบุญเลิศ วิเศษปรีชา เป็นต้น งานวิจัยเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นมิติของการต่อสู้ภายใต้ระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมของคนกลุ่มต่างๆ ที่ถูกเรียกว่าเป็นคนชายขอบในบริบทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งน่าจะช่วยสะท้อนมุมมองเรื่องอำนาจในสังคมไทยให้เห็นเด่นชัดขึ้น


[1] บทความนำเสนอรายวิชา 415 711ทฤษฎีสังคมวิทยาร่วมสมัย CONTEMPORARY SOCIOLOGICAL THEORIES
[2] นักศึกษาปริญญาโทสาขาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
[3] ความเป็นชายขอบ (marginality) ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองนั้นหมายถึง ผู้คนที่ด้อยอำนาจ (the powerless) คนที่ตกเป็นเบี้ยล่าง (the subordinate) ของคนกลุ่มใหญ่และคนยากไร้ (the have-nots) และเมื่อคนเหล่านี้เป็นชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย เพศด้อย และไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในสังคม หรือเรียกรวมๆ ว่ามีสถานะเป็น “คนอื่น” (the others) อีกด้วยแล้วจึงทำให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกีดกันออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า (multiple exclusions) หรือเป็นคนชายขอบในพหุมิติ (multiple marginalities) จึงแทบจะกล่าวได้ว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้เท่ากับศูนย์ นักสังคมศาสตร์ยุคหลังสมัยใหม่ ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มคนที่เรียกรวมๆ กันว่าเป็น “คนที่ถูกกดทับไว้” ใน ชูศักดิ์ วิทยาภัค บรรณาธิการ. “บทนำ: สังคมศาสตร์กับการศึกษาคนชายขอบ, วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 11: 1, 2541, น.17-18.
[4] สุภางค์ จันทวานิช. ทฤษฎีสังคมวิทยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551. น.59.
[5] สัญญา สัญญาวิวัฒน์. ทฤษฎีสังคมวิทยา เนื้อหาและแนวทางการใช้ประโยชน์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551. น. 75.
[6] สุภางค์ จันทวานิช. ทฤษฎีสังคมวิทยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551. น.201-202.
[7] สัญญา สัญญาวิวัฒน์. ทฤษฎีสังคมวิทยา เนื้อหาและแนวทางการใช้ประโยชน์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551. น. 141-144.
______________________________________________________________________________________________
บรรณนานุกรม
กาญจนา แก้วเทพ. สตรีนิยมและวัฒนธรรมศึกษา. ใน อานันท์ กาญจนพันธุ์. (บ.ก.). อยู่ชายขอบ มองลอดความรู้รวมบทความในวาระครบรอบ 60 ปี ฉลาดชาย รมิตานนท์. กรุงเทพฯสำนักพิมพ์มติชน, 2549.
กาญจนา แก้วเทพและสมสุข หินวิมาน. สายธารแห่งนักคิดทฤษฎี เศรษฐศาสตร์การเมือง กับสื่อสารศึกษา. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์, 2551.
ชูศักดิ์ วิทยาภัค บรรณาธิการ. “บทนำสังคมศาสตร์กับการศึกษาคนชายขอบ, วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 11: 12541.
ธีรยุทธ บุญมี. โลก Modern & Post modern. กรุงเทพฯสำนักพิมพ์สายธาร, 2550.
                Michel Foucault. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิภาษา, 2551.
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี. (บ.ก.). อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความเป็นชายขอบ. กรุงเทพฯศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2546.
รัตนา โตสกุล. มโนทัศน์เรื่องอำนาจ.กรุงเทพฯคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติสาขาสังคมวิทยา, 2548.
สัญญา สัญญาวิวัฒน์. ทฤษฎีสังคมวิทยา เนื้อหาและแนวทางการใช้ประโยชน์เบื้องต้น. กรุงเทพฯสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551.
สุภางค์ จันทวานิช. ทฤษฎีสังคมวิทยา. กรุงเทพฯสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551.
สุริชัย หวันแก้วกระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ (Marginalization)กรุงเทพฯคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา, 2546.
อานันท์ กาญจนพันธุ์. (บ.ก.). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยเครือข่ายปริญญาโทด้านไทยศึกษาประเด็นสังคมและวัฒนธรรมของคนชายขอบ. เชียงใหม่คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2546.

อยู่ชายขอบ: ตัวตนและการต่อสู้ของคนชายขอบในสังคมไทย

อยู่ชายขอบ: ตัวตนและการต่อสู้ของคนชายขอบในสังคมไทย[1]
ถิรนัย อาป้อง[2]
บทนำ
                ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จนั้น ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของชาติดำเนินไปควบคู่กันกับการกีดกันประชากรกลุ่มใหญ่ออกจากชีวิตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะหนทางของอุตสาหกรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมที่กำลังพัฒนาใดๆ มักจะหมายถึงการพึ่งพาการนำเข้าเทคนิควิทยาการและเครื่องจักรจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งการพัฒนาประเทศจึงกินความหมายไปถึงการลดความสำคัญของการผลิตด้านอื่นๆ  เช่น การละเลยการผลิตพืชอาหารหลักไปโดยปริยาย บรรดาคนจนทั้งที่อยู่ในเมือง และชนบท สังคมเหล่านั้นถูกกีดกันให้ออกไปอยู่ขอบนอกหรือชายขอบของระบบมิให้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในลักษณะที่ไม่มีโอกาสได้รับผลพวงอันเกิดจากการพัฒนา กลุ่มคนเหล่านี้ตกอยู่ในฐานะเสมือนถูกระบบกดหัวให้จมอยู่ในภาวะความยากจนอย่างที่สุด มิหนำซ้ำยังได้รับผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากการขาดบริการด้านสังคมและสวัสดิการทั้งนี้เพราะถูกกันให้อยู่นอกระบบสวัสดิการจึงทำให้ยากที่จะลืมตาอ้าปากและมีโอกาสรับจ้างงานที่ปรกติสุขหรือมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีได้ (สุริชัย, 2546)
ในสังคมไทย นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ถูกดึงให้ตกเข้าไปอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์มากขึ้น  จนก่อให้เกิดผลตามมาประการหนึ่ง ทั้งน่าตกใจและหน้าเศร้าสลดอย่างมากไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักมานุษยวิทยาที่สนใจศึกษาความหลากหลายในวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์ นั่นก็คือ นับวันผู้คนในสังคมไทยยิ่งมองเห็นความเป็นคนลดน้อยไปทุกที ดังจะเห็นได้ว่าเราไม่ค่อยจะไยดีกับความเป็นคนของคนอื่น หลายๆครั้งเรามองไม่เห็นพวกเขาเลยด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะกระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนสำคัญในการลดทอนความเป็นมนุษย์ ผลักดันและเปลี่ยนให้วัฒนธรรมและคุณค่าต่างๆ กลายเป็นสินค้าอย่างกว้างขวาง ตลอดจนเสริมสร้างลัทธิบริโภคนิยม จนผู้คนตกเป็นทาสของสินค้า พร้อมๆ กับการยึดติดอยู่กับการสร้างภาพในลักษณะของการติดป้ายอย่างตายตัวของวัฒนธรรม จนมองข้ามความเป็นคนไปหมดสิ้น แม้ว่าในอีกด้านหนึ่งกระแสโลกาภิวัตน์จะเรียกร้องให้สนใจในสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ยังไม่สามารถเปิดพื้นที่ได้เท่าที่ควร ให้กับกลุ่มคนทั้งหลายที่ต้องกลายเป็นเหยื่อของการลดทอนความเป็นมนุษย์ ซึ่งวงวิชาการเรียกพวกเขาว่า “คนชายขอบ” (อานันท์, 2549
                กระบวนการติดป้ายอย่างตายตัว ถือเป็นลักษณะหนึ่งของการเปลี่ยนวัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า ซึ่งอาจจะเป็นการสร้างภาพเชิงเดี่ยวหรือสร้างภาพเชิงลบก็ได้ ซึ่งตรงกับแนวความคิดเรื่องการบูชาสินค้า (Fetishism) โดยกระบวนการเปลี่ยนความหมายเชิงนามธรรมที่หลากหลายให้เหลือความหมายเพียงอย่างเดียวตายตัว (Reification) กระบวนการทำให้นามธรรมกลายเป็นวัตถุสิ่งของเช่นนี้ หลังจากที่กลายเป็นสินค้าแล้วก็ควบคุมไม่ได้ ก็จะกลายเป็นสิ่งอื่นๆ เรื่อยไป ซึ่งแล้วแต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ประจำวัน การติดป้ายให้กับวัฒนธรรมอย่างตายตัวจะมีผลทำให้คนสูญเสียความเป็นคน เพราะต้องตกเป็นทาสของความหมายที่อยู่เบื้องหลังป้ายดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มชนต่างๆ ก็อาจจะรู้สึกต่อต้านกับกระแสต่างๆ ที่เข้ามาจากภายนอก
                นักมานุษยวิทยามีความพยายามทางวิชาการที่จะเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจคนชายขอบกลุ่มต่างๆ ให้มากขึ้น จากกรณีศึกษา เกย์ หญิงรักหญิง คนชรา คนเก็บขยะ วัยรุ่น และเด็กข้างถนน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งอยู่ในบริบทที่แตกต่างกัน บางครั้งก็อาจถูกจัดไว้ในวัฒนธรรมกลุ่มย่อย (Subcultures) และบางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ “ถูกกดทับไว้” (Subaltern Group) หรือชนชั้นล่างสุด
                แม้ว่าจะมีความพยายามสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นชายขอบอยู่บ้างในเชิงทฤษฎี แต่ความหมายของการเป็นชายขอบ (Marginality) และกระบวนการทำให้กลายเป็นคนชายขอบ (Marginalization) ในปัจจุบัน นับว่ายังสับสนอยู่พอสมควร เนื่องจากชายขอบในทางภูมิศาสตร์นั้นอาจดูเหมือนอยู่ขอบๆ ของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ส่วนความเป็นชายขอบทางสังคมนั้นจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซ้อนซึ่งมักผลักให้คนส่วนหนึ่งต้องไร้อำนาจจนตกไปอยู่ชายขอบของสังคม แม้จะมีชีวิตอยู่ตรงศูนย์กลางของพื้นที่ในเชิงภุมิศาสตร์ ขณะเดียวกันยังหมายรวมถึงกระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์ด้วยความพยายามทำให้คนกลายเป็นสิ่งของบางอย่างที่ตายตัว เช่น การทำให้กลายเป็นสินค้า (Commoditization) และการติดป้ายให้มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในแง่ลบ (Stigmatization) แต่คนชายขอบมักจะไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว ด้วยความพยายามดิ้นรนต่อสู้ที่จะเลือกกำหนดสถานการณ์ให้ตัวเอง เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไว้ ดังนั้นการศึกษาเรื่องคนชายขอบจึงคงต้องให้ความสำคัญกับพลวัตของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในลักษณะที่สามารถปรับเปลี่ยนสลับกันไปมาอยู่เสมอและไม่ยึดติดกับลักษณะใดลักษณะหนึ่งอย่างตายตัว (อานันท์, 2549)
แนวความคิดเรื่องการสร้างคนชายขอบ Marginalization[3]
                ภาวะหรือกระบวนการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลถูกปฏิเสธหนทางที่จะเข้าถึงการได้รับตำแหน่งสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ ศาสนา อำนาจการเมืองในสังคมใดๆ กลุ่มชายขอบนี้อาจจะเป็นชนกลุ่มใหญ่จำนวนหนึ่ง เช่น กรณีประชากรผิวดำซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกาใต้ ภายใต้ระบอบกีดกันสีผิว (Apartheid) นั้น คนผิวดำได้กลายเป็นคนชายขอบภายใต้สภาวะที่คนผิวขาวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่แม้มีจำนวนน้อยกว่าแต่เข้าถึงอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ จึงทำให้สามารถดำรงตนเป็นผู้ปกครองได้ Marginalization กลายเป็นหัวเรื่องที่สำคัญในการวิจัยทางสังคมวิทยาในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตอบรับต่อความตระหนักถึงประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วแต่ทว่าสมาชิกของสังคมเหล่านี้กลับได้รับส่วนแบ่งผลตอบแทนจากความสำเร็จแตกต่างกันและไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นเสียกว่าที่เคย
                เมื่อมีการหยิบยกแนวคิดนี้ขึ้นมาพิจารณากันก็มีการให้ความสนใจกันมากขึ้น กระบวนการเกิดคนชายขอบจึงกลายเป็นแหล่งที่มาอันสำคัญที่กระตุ้นให้มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ได้รับอิทธิพลโดยกลุ่มทฤษฎีพึ่งพา (Dependency Theory) กลุ่มมาร์กซิสต์และกลุ่มทฤษฎีระบบโลกซึ่งเป็นกลุ่มที่โต้แย้งว่าปรากฏการณ์ที่เกิดกลุ่มชายขอบขึ้นนี้สัมพันธ์เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบทุนนิยมโลก และมิได้จำกัดตัวเพียงปรากฏการณ์จำเพาะในสังคมใดสังคมหนึ่งหรือมีที่มาจากเหตุปัจจัยภายในเท่านั้น เช่น สังคมด้อยพัฒนา
                หากกล่าวโดยภาพรวมแล้วในบรรดาวิชาสังคมศาสตร์ทั้งหลายนั้น นักมานุษยวิทยามักจะมีแนวโน้มเป็นกลุ่มที่สนใจที่จะศึกษากลุ่มคนที่ถูกละเลยและขาดการศึกษา ทั้งนี้ก็สืบเนื่องจากหลักคิดที่มองว่าหากเราทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่ชายขอบของสังคมหรือชายแดนของวัฒนธรรมได้แล้ว เราย่อมสามารถเข้าใจต่อไปว่าสังคมนั้นกำหนดหรือนิยามความพิเศษของสังคมตนอย่างไร และถูกกำหนดในแง่มุมเทียบเคียงกับกลุ่มอื่นๆ อย่างไร รวมทั้งจะได้เข้าใจต่อไปว่าค่านิยมทางวัฒนธรรมที่เป็นหลักหรือแกนกลางของสังคมนั้นคืออะไร แต่อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาของนักมานุษยวิทยาโดยเฉพาะส่วนใหญ่ที่ผ่านมานั้นมีลักษณะเน้นพิจารณาศึกษาคนกลุ่มน้อยและคนที่อยู่ตรงชายขอบของสังคมและวัฒนธรรมหลัก (marginal peoples) บางทีจะโดยจงใจหรือไม่ก็ตามอาจมีนัยว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเลือกที่จะดำรงตนอยู่ ณ บริเวณขอบนอกนั้น โยมิได้ให้ความสนใจแก่กระบวนการที่กระทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นต้องตกไปอยู่ ณ ชายขอบ ซึ่งจะพิจารณาพวกเขาว่าเป็นฝ่ายถูกเบียดขับให้ต้องไปอยู่วงนอก (marginalized)
ภาวะชายขอบ (Marginality)[4]
ภาวะชายขอบ (Marginality) ในมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรม เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งในบริบทส่วนใหญ่ของการวิจัยทางมานุษยวิทยา และยังพบในมิติอื่นๆ ในงานชาติพันธุ์นิพนธ์และทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ในด้านหนึ่งเมื่อนักมานุษยวิทยาทำงานภาคสนามพวกเขาก็จัดเป็น “marginal native” กลุ่มหนึ่ง ผู้ซึ่งมิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชุมชนที่ตนเข้าไปศึกษาอย่างสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติตัวตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนนัก งานชาติพันธุ์นิพนธ์ที่ได้รับอิทธิพลจากวิชามานุษยวิทยาแนววิพากษ์ (Critical Anthropology) ชี้ให้เห็นผลของภาวะชายขอบดังกล่าว
                ในอีกด้านหนึ่ง ส่วนใหญ่ของประชากรที่นักมานุษยวิทยาศึกษานั้นมักจะเป็นคนชายขอบ เช่น ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ในชาติโลกที่สาม ซึ่งโดยตัวของชาติเหล่านี้เองก็มีที่ทางอยู่บริเวณชายขอบของระบบทุนนิยมโลกด้วย งานวิจัยทางมานุษยวิทยาในชาติตะวันตกก็มีแนวโน้มในการเน้นการศึกษากลุ่มคนที่อยู่ชายขอบของกระแสหลักแห่งชาตินั้นๆ ไม่ว่ากลุ่มคนดังกล่าวจะเป็นชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักในมิติอื่น
                ทั้งๆ ที่งานศึกษาจำนวนมากของนักมานุษยวิทยาเป็นเรื่องของคนชายขอบ แต่ก็มีนักมานุษยวิทยาจำนวนไม่มากนักที่บอกว่าศาสตร์ของตนคือศาสตร์ของการศึกษาคนชายขอบ บ่อยครั้งกว่าที่นักมานุษยวิทยาจะบอกว่ามานุษยวิทยาคือวิชาที่ศึกษาสังคมขนาดเล็กๆ หรือสังคมก่อนยุคอุตสาหกรรม อันเป็นนิยามความหมายที่ละเลยลักษณะของภาวะชายขอบซึ่งปรากฏอยู่ในส่วนใหญ่ของชุมชนที่นักมานุษยวิทยาเข้าไปศึกษา
                อันที่จริงแล้วการศึกษาในสาขามานุษยวิทยาแนววิพากษ์และมานุษยวิทยาประยุกต์ (Applied Anthropology) มานุษยวิทยามาร์กซิสต์ (Marxist Anthropology) และทฤษฎีบางแนว เช่น ทฤษฎีการพึ่งพา (Dependency Theory) และทฤษฎีระบบโลก (World Systems Theory) ได้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการและโครงสร้างที่สร้างนิยาม และธำรงภาวะชายขอบนั้น โดยตัวของมันเองเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการตั้งคำถามทางมานุษยวิทยา นักชาติพันธุ์ไม่ได้มีหน้าที่แต่เพียงประมวลค้นหาลักษณะเฉพาะทางสังคมวัฒนธรรมของกลุ่มคนชายขอบเท่านั้น หากต้องประมวลค้นหาประสบการณ์และกระบวนการที่ทำให้ผู้คนเหล่านั้นกลายเป็นคนชายขอบ (Marginalization) อีกด้วย และก็ย่อมหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนชายขอบกับระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมจะได้รับการถูกเปิดเผย เมื่อมีการชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจที่สำคัญๆ ในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับเหนือชาติแล้ว ภาพลวงตาที่ว่าสังคมหรือวัฒนธรรมใดๆ ที่ดำรงคงอยู่โดยตัวของมันเองก็จะหายไป หมายความว่า เมื่อมีการเผยโฉมโครงสร้างอำนาจดังกล่าวแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ชุมชนมนุษย์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม (bands) ชนเผ่า (tribes) ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ (ethnic minorities) หรือภาค (sectors) ของสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ต่างดำรงคงอยู่ภายในบริบทของความสัมพันธ์กับชุมชนรอบข้างและระบบสังคมวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า ทั้งนี้โดยมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เป็นตัวกำหนดไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม
ความเป็นชายขอบ (Marginality)[5]
แนวความคิดในการศึกษาคนชายขอบของนักสังคมศาสตร์ในยุคหลังสมัยใหม่เสนอว่า ความเป็นชายขอบ (marginality) ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองนั้นหมายถึง ผู้คนที่ด้อยอำนาจ (the powerless) คนที่ตกเป็นเบี้ยล่าง (the subordinate) ของคนกลุ่มใหญ่และคนยากไร้ (the have-nots) และเมื่อคนเหล่านี้เป็นชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย เพศด้อย และไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในสังคม หรือเรียกรวมๆ ว่ามีสถานะเป็น “คนอื่น” (the others) อีกด้วยแล้วจึงทำให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกีดกันออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า (multiple exclusions) หรือเป็นคนชายขอบในพหุมิติ (multiple marginalities) จึงแทบจะกล่าวได้ว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้เท่ากับศูนย์
                นักสังคมศาสตร์ยุคหลังสมัยใหม่ ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มคนที่เรียกรวมๆ กันว่าเป็น “คนที่ถูกกดทับไว้” ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อย ผู้หญิง คนพิการ กลุ่มรักร่วมเพศ และแม้แต่ชาวไร่ชาวนาในสังคมไทยอาจกล่าวได้ว่าเป็นมวลชนชายขอบของสังคมใหญ่ (the marginal mass) คนเหล่านี้มักจะถูกกีดกันหรือเบียดขับออกจากสังคม (the excluded or marginalized) ไม่ว่าจะเป็นบริบทในทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่มักเรียกกันในวาทกรรมการพัฒนาว่าเป็นกลุ่มคนโลกที่สี่ (The Fourth World)
นิยามของคนชายขอบ (marginal people)
                คนชายขอบ (marginal people) คือ “...กลุ่มคนที่มีชีวิตอยู่กึ่งกลางหรือห่างไกลจากศูนย์กลางทั้งในทางภูมิศาสตร์และสังคมวัฒนธรรม ในทางภูมิศาสตร์ “คนชายขอบ” มักจะเป็นกลุ่มคนที่ต้องเคลื่อนย้ายจากภูมิลำเนาดั้งเดิมด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ การเมืองและสังคมวัฒนธรรม การตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพ หรือวิถีชีวิตของคนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับการแก่งแย่งแข่งขันเพื่อเข้าถึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ถูกกีดกันและเอารัดเอาเปรียบจากคนกลุ่มใหญ่ซึ่งอยู่อาศัยในดินแดนหรือเขตภูมิศาสตร์นั้นมาก่อน ในทางสังคมและวัฒนธรรม “คนชายขอบ” ย่อมกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมใหม่ วัฒนธรรมประจำกลุ่มจึงเป็นวัฒนธรรมย่อยที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือได้รับการเลือกปฏิบัติจากผู้คนในกระแสวัฒนธรรมหลัก การเรียนรู้การปรับตัวและการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะเอาตัวรอดหรือมีชีวิตอยู่ภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสาระสำคัญของวิถีชีวิตประชากรที่อาศัยอยู่ในวัฒนธรรมชายขอบ...”[6]
“...ในสังคมใหญ่ทุกแห่งมี “ประชากรชายขอบ” ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมวัฒนธรรม คนกลุ่มนี้ขาดอำนาจการต่อรอง ขาดการศึกษา ขาดเครื่องมือที่เข้าถึงอำนาจ และถูกกีดกันออกจากระบบการต่อรองอำนาจและการจัดสรรทรัพยากร อำนาจและความมั่งคั่งในสังคม ลักษณะของกลุ่มประชากรชายขอบอาจจะแตกต่างจากประชากรส่วนใหญ่ของสังคม ในแง่ของชาติพันธุ์ ผิวพรรณ ศาสนา อุดมการณ์ การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจและชนชั้นทางสังคม ฯลฯ ตัวอย่างของประชากรชายขอบ ได้แก่ ชนกลุ่มน้อย ผู้อพยพ ประชากรที่อาศัยอยู่ในสลัม ชาวนาชาวไร่ในชนบท โสเภณี แรงงานไร้ทักษะฝีมือ แรงงานข้ามชาติ ฯลฯ”[7]
กระบวนการสร้างคนชายขอบ (Marginalization)
                กระบวนการเป็นคนชายขอบนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ทิศทาง ที่ตรงข้ามกัน กล่าวคือ ในทิศทางแรก ความเป็นชายขอบเกิดขึ้นจากการถูกกีดกัน และถูกลดอำนาจ หรือถูกติดป้าย เช่น กรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้น ความเป็นชายขอบของพวกเขาเกิดขึ้นจากผู้ติดเชื้อถูกแยกออกไปจากสังคม ถูกทำให้แปลกแยกจากสังคม ถูกผลักให้กลายเป็นชายขอบในลักษณะที่เรียกว่าคนในสังคมไม่ยอมรับ แต่พวกเขาก็ยังพยายามแยกตัวตนออกมาจากสังคม เพื่อให้เห็นตัวตัวตนของพวกเขาเองด้วย หรือกรณีชาวเขาที่ถูกติดป้ายในลักษณะให้ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา แต่ในอีกทิศทางหนึ่ง ความเป็นชายขอบเกิดขึ้นจากการถูกดึงเข้าร่วมกระบวนการ จนกลับกลายเป็นชายขอบในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางแรก เช่นกรณีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในสังคมไทยถูกดึงให้เข้าร่วมกระบวนการการพัฒนา โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่กลับกลายเป็นการดึงให้พวกเขาถูกแปลกแยก ถูกดึงให้เป็นคนชายขอบ เพราะมีสถานภาพเป็นเพียงสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น และกรณีของผู้นิยมบริโภคสินค้าเงินผ่อน ก็ถูกทำให้กลายเป็นคนชายขอบได้ เพราะยิ่งเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริโภค ก็ยิ่งกลายเป็นชายขอบในเชิงเศรษฐกิจ ด้วยการติดหนี้สินรุงรังจนไร้ความเป็นตัวของตัวเอง
                ดังนั้นกระบวนการกลายเป็นชายขอบจึงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะถูกกีดกันด้านเดียว แต่เกิดจากกระบวนการทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านที่ถูกผนวกและด้านที่ถูกกีดกันก็สามารถเป็นชายขอบได้ทั้งคู่ เพราะฉะนั้นประเด็นสำคัญคือเงื่อนไขและสาเหตุอะไรที่ทำให้กระบวนการตรงข้ามกันนั้นก่อให้เกิดผลอย่างเดียวกันได้อย่างไร ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ 3 บริบทด้วยกัน ในบริบทแรกชุมชนเผชิญกับกระแสของรัฐชาติ ซึ่งสร้างแรงกดดันลงไปในชุมชนต่างๆ ภายในประเทศ เช่น การผสมกลมกลืนให้ “กะเหรี่ยงกลายเป็นไทย” ส่วนรัฐชาติก็เน้นการอนุรักษ์ ก็จะสร้างกระแสของการกีดกันชุมชนต่างๆ ออกจากการเข้าถึงทรัพยากร สำหรับบริบทที่ 2 นั้น ชุมชนจะตกอยู่ในกระแสของทุนนิยมและโลกาภิวัตน์ จนเกิดปัญหาในเรื่องของพื้นที่ยืนเดิม ซึ่งมักเกี่ยวกับชุมชนภายใต้หน่วยที่ซับซ้อน กล่าวคือ หน่วยเดิมเป็นเรื่องของชุมชนและชาติพันธุ์ แต่ต้องไปยืนอยู่ในกระแสที่เชี่ยวกรากของทุนนิยม บริโภคนิยม และกระแสของโลกาภิวัตน์ ทำให้ถูกเปลี่ยนความหมายจนสูญเสียพื้นที่ของความเป็นมนุษย์ และบริบทสุดท้ายจะเป็นเรื่องของตัวตนของผู้คนกลุ่มต่างๆ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของตัวตน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้หญิง หรือผู้เป็นโรคเอดส์ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ของการเปลี่ยนผ่านทางสังคม เช่น ในกรณีของคนเป็นโรคเอดส์ต้องสูญเสียความเป็นคนเพราะถูกติดป้ายว่าเป็นผู้ไร้ศีลธรรม
                ภายใต้บริบทดังกล่าวในปัจจุบันนี้จะพบว่า ความเป็นชายขอบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง ทั้งพื้นที่ในเมือง ในบาร์ ในโรงงาน พื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบท พื้นที่ในชนบท จนกระทั่งพื้นที่สูงในป่า การเป็นคนชายขอบซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในเกือบจะทุกสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับมุมมอง เช่น นักวิชาการก็อาจจะกลายเป็นชายขอบได้ ถ้าหากถูกติดป้ายว่าเป็นพวกไม่หวังดี ดังนั้นการเป็นชายขอบจึงไม่ได้หมายความว่า เกิดขึ้นเฉพาะในบริเวณชายขอบเท่านั้น ความเป็นชายขอบเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อมีการกีดกันพื้นที่ในรูปของการสร้างพรมแดนขึ้นมาปิดกั้นผู้คนบางกลุ่ม
                แต่ความเข้าใจทั่วไปมักจะมองคนชายขอบว่า เป็นเพียงวัฒนธรรมกลุ่มย่อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดเล็ก ทั้งนี้เพราะมองเห็นได้ง่าย และคนทั่วไปอาจยังติดอยู่กับความคิดแบบเหยียดสีผิวและเชื้อชาติอยู่ การใช้มิติทางชาติพันธุ์จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด รวมทั้งทางการเมืองก็ง่ายที่สุดด้วย เช่น กรณีชาวเขาต่อสู้เรื่องสิทธิที่จะอาศัยในป่า ก็ถูกป้ายสีว่าไม่ใช่คนไทย ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้มีจำนวนมาก ดังนั้นความเป็นชาติพันธุ์ (Ethnicity) ยังต้องเป็นประเด็นสำคัญ ในการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

การศึกษาเกี่ยวกับคนชายขอบ
                การศึกษาคนชายขอบจะช่วยให้เข้าใจกระบวนการเรียนรู้ ในชีวิตจริงของการต่อสู้ของผู้คนกลุ่มต่าง เป็นความพยายามสร้างพื้นที่ของการขัดขืนต่ออำนาจ พร้อมๆ ไปกับการสร้างสรรค์เพื่อแสดงถึงพลังของความเป็นมนุษย์ ในการปรับตัวเพื่อมีชีวิตอยู่ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งก็น่าจะช่วยเปิดช่องทางให้สังคมไทยได้เรียนรู้จากทุกๆ ส่วนของสังคม เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพของตนได้อย่างแท้จริง และมีส่วนร่วมในการสร้างประชาสังคมได้มากขึ้น ซึ่งงานศึกษาเกี่ยวกับคนชายขอบในสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ มีดังต่อไปนี้
เสียงจากคนชายขอบ[8]
                เป็นงานวิจัยที่พยายามสะท้อนเสียงจากชนชายขอบที่ถูกการพัฒนาโหมรุกเข้าไปเปลี่ยนวิธีชีวิต วิถีปฏิบัติออกไปสู่สังคม เป็นการศึกษาเชิงมานุษยวิทยาว่าด้วยการปรับตัวทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเขายากจนที่กำลังตกอยู่ในสถานะเป็นคนชายขอบ หรือ “ภาวะตกขอบทางสังคม” (Marginalization) ซึ่งนอกจากเป็นคนชายขอบที่อาศัยอยู่ตามชายแดนประเทศไทยแล้วยังเป็นคนชายขอบของการพัฒนาด้วย
                งานชิ้นนี้มุ่งวิเคราะห์พลังของพิธีกรรมที่ชาวลีซอใช้เป็นเวทีนิยามปัญหาและตีความสถานการณ์เพื่อสืบทอดความเป็นชาติพันธุ์ในบริบทที่ชุมชนไร้อำนาจในการจัดการทรัพยากร และปัจเจกบุคคลสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นคน โดยใช้แนวคิดที่มีลักษณะเคลื่อนไหว 3 ประการ คือ  แนวคิดว่าด้วยอำนาจ  แนวคิดว่าด้วยความเป็นชาติพันธุ์  และแนวคิดว่าด้วยการปรับเปลี่ยนอำนาจของพิธีกรรม ในการวิเคราะห์พลังของพิธีกรรมทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ชุมชน ครัวเรือน และปัจเจกบุคคล  โดยใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วมควบคู่ไปกับการสัมภาษณ์เชิงลึก
                สรุปได้ 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก การประเปลี่ยนโลกทัศน์ชาวลีซอได้ปรับเปลี่ยนอำนาจของวัฒนธรรมไทยซึ่งมีการครอบงำให้เข้ามาอยู่ในบริบทของท้องถิ่น มีการแสดงออกผ่านกระบวนการประทะประสานทางอุดมการณ์ระหว่างอำนาจครอบงำและอำนาจท้องถิ่นหรืออีกนัยหนึ่งเป็นการขยายพื้นที่ทางวัฒนธรรมของตนเอง  เพื่ออธิบายและตีความปัญหาของการพัฒนาด้วยความหมายใหม่ ทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ร่วมกันได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น  ประเด็นที่สอง การตีความสำนึกของชาติพันธุ์ในบริบทใหม่  เป็นต้นว่าชาวตีซอได้มีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอาปาหมุฮี หรือศาลผีเสื้อบ้านซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของของความเป็นชุมชนของชาวลีซอทั่วไปให้มีลักษณะที่ทันสมัย เพื่อจะได้มีสถานภาพที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลมาจากปัจจัยจากภายนอกมากยิ่งขึ้น การตีความภาวะที่มีมลทินทางสังคมของครัวเรือนที่ซื้อของใหม่มาทำให้ดูราวกับเป็นของเก่า แล้วนำไปขายให้กับนักท่องเที่ยวว่าเป็นการกระทำที่ขัดกับกฎจารีตและเห็นว่าการไปอยู่ในเมืองเป็นประจำจะมีความเจ็บป่วย ฯลฯ  และ ประเด็นที่สาม คือ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งภายในชุมชนและเกิดขึ้นกับคนของรัฐ เช่น กระชับความสัมพันธ์กับตัวแทนของอำนาจรัฐซึ่งก็เป็นการสร้างพันธมิตรวิธีหนึ่ง
โลกของคนไร้บ้าน[9]
                งานวิจัยชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงสาเหตุของการกลายเป็นคนไร้บ้านหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นกระบวนการกลายเป็นคนชายขอบของคนกลุ่มนี้ตลอดตนการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบมีสาเหตุหลายอย่างที่ทับซ้อนกัน สาเหตุที่สำคัญคือความเปราะบางของสถาบันครอบครัว คนไร้บ้านหลายคนไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวในช่วงวิกฤตชีวิต กลุ่มแรกคือคนชราที่ไม่อาจหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ เมื่อกลับไปอยู่กับญาติก็รู้สึกว่าตนเป็นที่ไม่ต้องการ กลุ่มที่สองคือวัยรุ่นจากครอบครัวแตกแยกเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงเพราะอาจข้องแวะกับสิ่งเสพติด ส่วนผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงานก็มักมีความสัมพันธ์ที่เปราะบางกับเครือญาติ กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าคนเหล่านี้สูญเสียทั้งต้นทุนทางสังคมและต้นทุนทางเศรษฐกิจ ทำให้ยากตัวเองสู่กับผันตัวเองกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ นานไปก็เกิดความเคยชินและสมัครใจเป็นคนไร้บ้าน
                คนชายขอบเหล่านี้ก็มีช่วงชั้นแตกต่างกัน ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างกันไปด้วย คนไร้บ้านที่มีอาชีพประจำ เช่น คนขายกระดาษเพื่อรองใช้นั่งตามเทศกาลงานวัดต่างๆ ที่มีมหกรรมการแสดง และคนเก็บของเก่า ในหมู่คนไร้บ้านด้วยกันถือว่าคนกลุ่มนี้มีสถานะสูงและส่วนมากเห็นว่าพวกตนประกอบสัมมาชีพ อีกกลุ่มหนึ่งคือคนไร้บ้านที่ไม่มีงานประจำหรือที่เรียกว่า “ผี”มักยังชีพด้วยการสงเคราะห์ เช่น รับประทานข้าวที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯ และชอบเดินทางตระเวนเที่ยวในช่วงเทศกาลตามสถานที่ต่างๆ เช่น งานวัด นอกจากนี้ยังมีคนไร้บ้านที่เรียกว่าคนชายขอบของชายขอบอีก ได้แก่ คนเดินชันตังค์ อันหมายถึงคนที่ขอเงินจากคนรอรถเมล์ คนที่รับประทานอาหารอยู่ตามร้านอาหารด้วยการสร้างเรื่องเพื่อให้น่าสงสาร เช่น ขอเงินค่ารถเพื่อกลับภูมิลำเนา แม้แต่ในหมู่คนไร้บ้านเองก็ไม่ชอบคนกลุ่มนี้ เพราะนอกจากทำเกิดภาพลักษณ์ไม่ดีกับคนไร้บ้าน ยังกลายเป็นอุปสรรคในการทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริตด้วย ซึ่งเรียกว่า “ผีทำเสีย”
                นอกจากนี้บุญเลิศเห็นว่าคนไร้บ้านก็มีการนิยามอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นคนไร้บ้าน แต่ให้ความหมายแก่ตัวเองว่าเป็นคนรักอิสระหรือเรียกว่าเป็นคนชอบเที่ยว คนไร้บ้านบางกลุ่ม เช่น คนให้เช่าพระเครื่อง ก็ไม่ยอมรับอัตลักษณ์เดียวกับคนไร้บ้านทั่วไปและมักนิยามตัวเองว่าเป็นคนมีหลักแหล่ง แต่ไม่เช่าบ้านอยู่ก็เพราะความจำเป็นด้านอาชีพที่จับจองพื้นที่ในการวางพระเครื่อง เป็นต้น
                จริงอยู่ที่มีคนไร้บ้านที่เป็นปัญหา เช่น พวกที่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด การค้าประเวณี แต่ผู้ศึกษาได้ให้ข้อคิดที่น่ารับฟังยิ่งว่า “มีความ หลากหลายในการใช้ชีวิตรอดของคนไร้บ้าน แน่นอนว่าย่อมมีคนที่สร้างความเดือดร้อน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สร้างปัญหา การมองคนไร้บ้านอย่างสรุปเหมารวมเชิงลบ จึงเป็นการมองที่ไม่อาจทำความเข้าใจใดๆเป็นการมองที่ผลักพวกเขาไปสู่นอกระบบ สู่การไม่ยอมรับและวิธีคิดที่ติดตามมาก็จะเน้นการควบคุม การจำกัดมากกว่าการเกื้อหนุนเปิดโอกาส ขณะเดียวกันเราก็ไม่อาจมองพวกเขาในเชิงพาฝันเราไม่อาจจะบอกว่าพวกเขาเป็นคนตกงานที่กำลังดิ้นรนหางานทำ  เพราะมีบางคนที่สามารถปรับตัว พึงพอใจกับชีวิตข้างถนนแล้ว
วิถีชีวิตคนใน “ชุมชนชายขอบ” ของสังคมเมือง : กรณีศึกษาคนคุ้ยขยะในชุมชนกองขยะชานเมือง[10]
แนวคิดในการศึกษาสลัมมีอย่างน้อย 2 แง่มุมซึ่งดูเหมือนจะขัดกัน ฝ่ายหนึ่งได้โต้แย้งแนวคิดที่เห็นว่า สลัมเป็น “ชายขอบ” คือภาระ เป็นกาฝาก หรือเป็นปัญหาของสังคมเมือง แต่อีกฝ่ายหนึ่งมองว่า สลัมมีหน้าที่ที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจการเมืองโดยรวม คือเป็นแหล่งแรงงานราคาถูกให้กับระบบทุนนิยม เมื่อพิจารณาถึง “กลุ่มคนจนอีกแบบหนึ่ง” ที่ “ชุมชนกองขยะ” เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายสังคมชนบทในแง่ที่ว่ามีทรัพยากรใกล้ชุมชน แต่มีความแตกต่างในเรื่องของการใช้ทรัพยากรซึ่งเป็นของเหลือใช้จากสังคมอื่นไม่ใช่เป็นทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง
                แม้ว่าจะมีทรัพยากรของตนเองแต่การพึ่งพิงภายนอกก็ยังคงมีค่อนข้างอยู่มาก ทั้งในแง่เศรษฐกิจและจากการบริการต่างๆ ของรัฐ นอกจากนี้เนื่องจากกองขยะซึ่งเป็นแหล่งทำกินของพวกเขานั้นเป็นพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่สมบัติของชุมชน อีกทั้งขยะก็เป็นสิ่งปฏิกูลที่จำเป็นต้องถูกทำลาย ดังนั้นการเข้าไปคุ้ยขยะของคนในชุมชนเพื่อที่จะนำขยะออกมาขายจึงต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับทั้งเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครและพ่อค้าคนกลาง ซึ่งหากมองในเงื่อนไขของการประกอบอาชีพและการทำมาหากินอันเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ชุมชนน่าจะตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกกำหนดจากเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครและพ่อค้าคนกลาง แต่การปฏิบัติต่อกันระหว่างคนคุ้ยขยะและพ่อค้าคนกลางหรือเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร หรือแม้แต่ระหว่างพ่อค้าคนกลางกับเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร พบว่ามีการกำหนดทิศทางหรือสร้างนิยามในสถานการณ์ต่างๆ โดยไม่มีกฎเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติที่ตายตัว
                พื้นที่ชุมชนกองขยะในฐานะที่เป็น “พื้นที่สังคม” (social space) ของชุมชนกองขยะที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ในอีกด้านหนึ่งพื้นที่นี้ก็แสดงตนในฐานะที่เป็นชายขอบ (marginality) ของวิถีชีวิตสังคมเมือง การเป็นชายขอบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการถูกกีดกันหรือเป็นกาฝากของสังคม ขยะในทัศนะของชาวบ้านคือ “แหล่งโชคลาภ แหล่งรายได้และความเป็นอิสระ นอกจากนี้ชาวชุมชนยังมีวิธีการจัดระเบียบและขอบเขตของขยะ เพื่อลดความรู้สึกแปลกแยกหรือภาวะกดดันต่อพวกเขาเองด้วย
ชุมชนไม่ได้ตัดขาดตนเองออกจากสังคมภายนอก คนในชุมชนเองมีความเป็นอิสระและมีศักยภาพในการดำเนินวิถีชีวิตของตนเองระดับหนึ่ง แต่เมื่อสัมพันธ์กับผู้คนในสังคมเมืองก็ต้องพบกับสภาพความอิหลักอิเหลื่อ (ambivalence) ไม่รู้ว่าจะวางตัวเองอยู่ในส่วนไหนของสังคม “ตนไม่ใช่คนเมือง แต่ก็ไม่ใช่คนบ้านนอก” เวลาที่ออกไปยังนอกบริเวณชุมชนพวกเขาพยายามแต่งตัวให้ดีที่สุด ไม่เชยและสะอาดเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเขามาจากไหน
หญิงรักหญิง : ผู้หญิงของความเป็นอื่น[11]
การถูกกีดกันให้กลายเป็นคนชายขอบทางเพศของหญิงรักหญิงเป็นผู้มีความผิดปกติด้านจิตใจและเป็นปัญหาสังคม ทำให้หญิงรักหญิงในประเทศไทยต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวและความกดดันอย่างมากจากอคติและการเลือกปฏิบัติที่สังคมทั้งในระดับครอบครัว ระดับสังคม และระดับรัฐ การรับเอาวาทะกรรมวิชาการเรื่องเพศในยุคที่มองเรื่องนี้เป็นความผิดปกติทางจิตใจจากตะวันตก ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนไทย จึงเป็นการตอกย้ำและค้ำจุนให้อคติทางเพศที่มีต่อคนชายขอบกลุ่มนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป
จากการถูกกดทับทางเพศจนตกอยู่ในสภาพถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้คนรักเพศเดียวกันได้แสดงตนและออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น โดยรับเอามโนทัศน์เรื่องสิทธิมนุษยชนและแนวคิดใหม่ๆเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันของตะวันตกมาปรับใช้เพื่อต่อรองช่วงชิงพื้นที่กับวาทะกรรมหลัก ขณะเดียวกันสังคมกระแสหลักทั้งรัฐและสื่อมวลชนเองก็พยายามควบคุมและจัดระเบียบสังคมโดยตลอด ดังเช่น ในปี พ.ศ.2540 สถาบันราชภัฏในการควบคุมดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎระเบียบห้ามผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพสเข้าศึกษาวิชาชีพครู ปรากฏว่ากลุ่มอัญจารีร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสตรีและสิทธิมนุษยชนได้ออกมาคัดค้านและเรียกร้องให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าว จนท้ายที่สุดกระทรวงศึกษาธิการได้ยกเลิกนโยบายนี้ไป สุไลพรชี้ให้เห็นว่าอัตลักษณ์ของหญิงรักหญิงมักถูกทำเสนอด้วยภาพของการเป็น “ทอม” และ “ดี้” ยังเป็นภาพที่คับแคบเกินไป ทั้งนี้เนื่องจากสภาพสังคมและการศึกษาแตกต่างกันไป  การทำความเข้าใจถึงตัวตนที่แตกต่างจากมุมมองของผู้ที่เป็นชายขอบเองจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขท่ามกลางความหลากหลายซับซ้อน
คุกกับคน:  อำนาจ และการต่อต้านขัดขืน[12]
                คนชายขอบที่อยู่ในสถานที่ต้องห้าม ซึ่งยากที่คนธรรมดาที่จะเข้าไปทราบเรื่องราวภายในได้ เพราะคุกเป็นที่คุมขังผู้ที่กระทำความผิด เป็นสถานที่ลงโทษผู้ต้องหาที่สังคมมักมองว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันกับคนทั่วไปได้อย่างปกติสุข คุกจึงเป็นเสมือนพื้นที่ชายขอบของสังคมไทย การศึกษาเรื่องนี้พยายามให้เห็นว่า ไม่มีอำนาจใดที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึงกับไม่มีพื้นที่ให้มนุษย์หาวิธีต่อต้านได้ เป็นการถ่ายทอดชีวิตและหนทางของสตรีในคุกผู้ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจรูปแบบต่างๆ
เนื้อหาเรื่องนี้เน้นที่ 3 ประเด็นหลักคือ ประเด็นแรก ศึกษาถึงชีวิตความเป็นอยู่ วงจรชีวิตในแต่ละวันของผู้ต้องขัง รวมถึงการต่อต้านขัดขืนของผู้ต้องขังซึ่งถูกแวดล้อมด้วยกฎระเบียบชุดใหม่โดยทั่วไป เช่น การแอบเก็บผลไม้ไว้กินในกล่อง การตีช้อนให้เป็นมีดเพื่อใช้ปลอกผลไม้ ทั้งๆที่มีกฎห้ามเพราะกลัวจะใช้เป็นอาวุธ เป็นต้น มองการเรียนรู้และกระบวนการปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบของผู้ต้องขังว่าเป็นการปรับตัวตามข้อกำหนดหรือกติกาของสังคมและวัฒนธรรมใหม่โดยสิ้นเชิง แต่มองว่าการเรียนรู้และปรับตัวของผู้ต้องขังมีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับการตีความกฎระเบียบของผู้ต้องขังและการปรับตัวขึ้นอยู่กับการประเมินผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติตามกฎ และเป็นไปได้ว่าในขณะที่กฎระเบียบส่งผลต่อความคิดและการปฏิบัติของผู้ต้องขัง การตีความกฎระเบียบซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และการปฏิบัติของผู้ต้องขังก็ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบของคุกได้เช่นกัน
                ประเด็นที่สอง เนื่องจากทัณฑสถานหญิงเป็นสถานที่ลงโทษและฟื้นฟูพฤตินิสัยของผู้ต้องขังหญิง การอยู่ร่วมกันของคนเพศเดียว ซึ่งเป็นอีกลักษณะที่ต่างจากโลกภายนอก ผู้ต้องขังเหล่านี้จึงพยายามปรับเปลี่ยนโลกที่พวกเธอมีชีวิตอยู่ให้สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานบางอย่าง เช่น ความต้องการความรักความอบอุ่นจากครอบครัว โดยการสมมติ “บ้าน”ที่มีผู้เล่นบทบาทเป็น พ่อแม่ลูก ความต้องการการยอมรับจากคนอื่น จะเห็นได้ว่าผู้ที่มีฐานะทางการเงินดีก็ยังเป้นผู้มีอภิสิทธิ์ดีในสายตาผู้ต้องขังด้วยกัน มีการยืมเงินแล้วทำงานชดใช้หรือได้รับความช่วยเหลืออยู่ตลอดจากผู้ต้องขังคนอื่นๆโดยมีสิ่งของเป็นสิ่งล่อใจ แต่เมื่อไม่มีเงินก็จะไม่ได้รับความสนใจไม่มีเพื่อน ในเรื่องความต้องการทางเพศ มีการรักร่วมเพศ (Lesbian) แม้ว่าบางคนก่อนที่จะเข้ามามามีความสัมพันธ์ทางเพศแบบปกติชายหญิงหรือมีครอบครัวมาก่อนก็ตาม
และประเด็นสุดท้าย  เนื่องจากในหมู่ผู้ต้องขังหญิงเองก็มีความหลากหลาย  เพราะสมาชิกทัณฑสถานหญิงกลางประกอบด้วยผู้หญิงที่มาจากสถานภาพทางสังคม  เศรษฐกิจ  เชื้อชาติ  ศาสนา  กรณีศึกษานี้คือกลุ่มผู้ต้องขังหญิงชาวมุสลิม เพราะเป็นผู้ต้องขังหญิงที่มีอัตลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มใหญ่ ซึ่งก็มีการปรับตัวในสภาพแวดล้อมและแบบแผนในการใช้ชีวิตแบบใหม่ด้วย นั่นคือ พยายามคงเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นมุสลิมไว้มีการทำละหมาด ถือศีลในเดือนเราะมะฎอน เป็นต้น
ความเป็นชายขอบ : กุญแจสู่ความเข้าใจปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้[13]
รายงานของคณะกรรมการเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติได้ระบุถึงสาเหตุความรุนแรง ได้อธิบายถึง “ชั้น” ของความรุนแรงเรื่องความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอส. ได้อธิบายไว้ทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกัน ได้แก่ ชั้นบุคคล ชั้นโครงสร้าง ชั้นวัฒนธรรม ว่า ก่อนที่จะเกิดขึ้นเป็นการกระทำอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินนั้น เงื่อนไขของความรุนแรงมาจากชั้นของวัฒนธรรมและชั้นของโครงสร้าง ซึ่งทั้งสองชั้นนี้เป็นความรุนแรงสนับสนุนให้กับความรุนแรงได้เพราะถูกทำให้เป็นชายขอบ
                คำอธิบายถึงกระบวนการกลายเป็นคนชายขอบของมลายู-มุสลิมที่ใช้กันโดยทั่วไปในแวดวงวิชาการและในรายงานของ กอส. คือการสร้างรัฐ “ไทย” จากการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางคือกรุงเทพฯ และการนิยามความเป็นไทยที่ไม่รวมเอาความเป็นมลายู-มุสลิม เอาไว้ด้วย การทำให้กลายเป็น “แขก” คนไทยส่วนใหญ่มักเรียกคนมุสลิมว่าแขก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคนมุสลิมนั้นจะเรียกตัวเองว่ามุสลิม “โจรแบ่งแยกดินแดน” เป็นสิ่งที่คนในสามจังหวัดภาคใต้จะมีตราบาปติดตัวว่าเป็นโจรแบ่งแยกดินแดน และ ผู้ก่อการร้าย ส่วนผู้ก่อการร้ายนั้นสังคมส่วนใหญ่มักจะระแวงคนมุสลิมว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายด้วยกระแสของโลก
                การใช้ความแตกต่างทางเชื้อชาติ-ศาสนามาเป็นข้อรังเกียจ ข้อกีดกัน การเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ หากพิจารณาจากรายงาน กอส. หมู่บ้านต่างๆในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดปัญหาความรุนแรงมักจะเป็นพื้นที่มีความขัดแย้งทางด้านการจัดการทรัพยากรสูง เพราะประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ ถูกกั้นออกมาทำให้เป็นคนชายขอบทางสังคม หากจะกล่าวถึงการมีทางด้านสังคม ศาสนา วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้นำไปสู่การผลัดไสมลายู-มุสลิมไปสู่ชายขอบทั้งสังคมไทย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปราะบางต่อการฉวยโอกาสจากการกระทำทุจริตต่างๆ ซึ่งพัฒนาไปสู่ความรุนแรงที่มลายู-มุสลิมตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาประโยชน์ ทั้งหมดนี้รัฐไทยสร้างเงื่อนไขสำคัญของปัญหาขึ้นมาด้วยตนเอง
                ชาวมลายู-มุสลิมตกเป็นคนชายขอบกับความรุนแรง สามารถพิจารณาได้ดังนี้ ประเด็นแรก การตกเป็นชายขอบขอบมลายู-มุสลิมอาจทำให้แรงกดดันต่างๆ ที่สังคมใหญ่ของมลายู-มุสลิมว่าเป็นคนชั้นสองในสังคม อาจนำไปสู่เงื่อนไขของการใช้ความรุนแรงได้ ประเด็นที่สอง ความเป็นชายขอบอาจทำให้มีกลุ่มคนต่างๆ หยิบใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ เช่น การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธ กลุ่มผู้มีอิทธิพล ในสามจังหวัดภาคใต้เป็นพื้นที่ของกลุ่มต่างๆที่ได้ใช้ความแตกต่างทางด้านต่างๆ กับสังคมส่วนใหญ่
การนำเสนอความเป็นตัวตนของหญิงบาร์เบียร์[14]
                ขณะที่สังคมไทยกำลังเกิดภาวะการแตกสลายของครอบครัวและชุมชนภายใต้การขยายตัวของระบบทุนนิยมและความสัมพันธ์เชิงพานิชย์ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทั้งตัวเธอและครอบครัว แต่ถูกสังคมตีตราว่าเป็นหญิงคนชั่วนั้น เป็นวิธีการประเมินคุณค่าของความเป็นมนุษย์ผู้หญิงด้วยการใช้เกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งไปพิพากษาพวกเธอ เช่น การใช้เกณฑ์ทางศีลธรรม เกณฑ์กีดกันในเรื่องเซ็กส์ที่ให้พื้นที่แก่ผู้หญิงภายในสถาบันครอบครัวเท่านั้น เกณฑ์ทางกฎหมายที่จัดวางผู้หญิงในฐานะเป็นอาชญากร การตัดสินผู้หญิงจากแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งดังกล่าวเป็นมุมมองเชิงเดี่ยวที่ไม่คำนึงถึงความหลากหลายของสถานการณ์ชีวิตและความซับซ้อนของเงื่อนไขต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้คน ดังนั้นการพัฒนาสังคมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจมุมมองของผู้หญิงในฐานะที่เป็นประชากรครึ่งหนึ่งของสังคม แทนที่จะตัดสินคุณค่าของพวกเธอไปก่อนล่วงหน้าโดยละเลยหรือพิจารณาแง่มุมของผู้หญิงเพียงแต่ผิวเผิน เช่น อธิบายว่าการเกิดโสเภณีเป็นความผิดปกติของผู้หญิง หรือการตัดสินใจของผู้หญิงที่งอมืองอเท้า ชอบงานง่ายๆ เป็นต้น
                จากการศึกษาประสบการณ์ของผู้หญิงที่อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้หญิงด้อยโอกาสของสังคมสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ในโลกการค้าประเวณีที่ถูกสังคมมองว่าลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง ผู้หญิงก็ไม่ได้สยบยอมต่อการเป็นเพียงวัตถุทางเพศอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ผู้หญิงกลับใช้เงื่อนไขของบาร์เบียร์ที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างผู้หญิงและลูกค้ามาสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยการต่อรองเรื่องอารมณ์และยังคงรักษาพื้นที่ในการเป็นผู้ที่มีสิทธิ์แสดงความพอใจในฐานะที่เป็นมนุษย์
                เช่นเดียวกับภาวะความเป็นเมียในบริบทครอบครัว ผู้หญิงตระหนักรู้ว่าในภาวะของ “ผู้ถูกกระทำ” และได้พยายามดิ้นรนในแบบต่างๆ นับตั้งแต่การเปลี่ยนจากผัวไทยมาสู่ผัวฝรั่ง และหวนกลับไปสู่หญิงบาร์เบียร์ด้วยการจัดวางความสัมพันธ์กับผู้ชายในหลากหลายแบบ ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงพยายามเลือกจัดวางตนเองในบทบาทที่ไม่เป็นผู้รองรับในทุกมิติ
                ถ้าหากผู้หญิงยอมตกอยู่ในฐานะของ “ผู้ถูกกระทำ” ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ตายตัวแบบเดิม ผู้หญิงย่อมไม่โอกาสได้เลือก แต่เมื่อผู้หญิงหลุดออกจากมุมมองเชิงเดี่ยวที่มากำหนดคุณค่าของความเป็นผู้หญิงแล้ว พวกเธอได้สร้างความหมายของความสัมพันธ์หญิงชายที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากกว่าแค่ความเป็นผัวเมีย หรือความเป็นหญิงบริการกับลูกค้าเท่านั้น การต่อสู้เพื่อพลิกบทบาทการเป็นผู้กำหนดเพื่อรักษาคุณค่าความเป็นมนุษย์ของหญิงบาร์เบียร์เป็นไปตามโลกของประสบการณ์ที่แวดล้อมชีวิตของพวกเธอก็ไม่ได้ต่อสู้บนหนทางนี้แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ยังมีผู้หญิงบาร์เบียร์คนอื่นๆอยู่ร่วมบนถนนสายเดียวกัน
                อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของผู้หญิงบาร์เบียร์ไม่ได้เป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางเพศของปัจเจกบุคคล เนื่องจากการนิยามความเป็นตัวตนของความเป็นผู้หญิงในบริบทของสังคมไทยมีรากฐานที่สัมพันธ์กับครอบครัวและชุมชน ซึ่งก่อให้เกิดความซับซ้อนและไม่หยุดนิ่งตายตัว อีกทั้งการนิยามความเป็นตัวตนยังเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งมีช่วงเปลี่ยนผ่านในแต่ละสถานการณ์ของชีวิต ดังนั้นการดิ้นรนของผู้หญิงบาร์เบียร์จึงแตกต่างจากความพยายามสร้างภาพของโสเภณีให้กลายเป็นตัวตนใหม่ทางการเมือง(Political subject) เป็นกบฏในทางเพศหรือผู้ปลดปล่อยเซ็กส์ ในประเด็นนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจ “ความเป็นตัวตน” ของความเป็นผู้หญิงที่ไม่หยุดนิ่งหรือผูกขาดความหมายที่เป็นสากล อีกทั้งยังต้องคำนึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความแตกต่างทางชนชั้นและเงื่อนไขของประสบการณ์ชีวิต
ฝิ่นกับคนม้ง : พลวัตความหลากหลายและความซับซ้อนแห่งอัตลักษณ์ของคนชายขอบ[15]
ปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างและผลิตซ้ำในสังคมไทยเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ผู้เคยมีวัฒนธรรมการผลิตฝิ่นมายาวนานในอดีต ชาวม้งมักถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหายาเสพติดในฐานะผู้ปลูก ผู้เสพ ค้าฝิ่นและเฮโรอีนไปจนถึงการค้ายาบ้าในปัจจุบัน ภาพลักษณ์เหล่านี้ถูกสะท้อนและตอกย้ำให้ผู้คนในสังคมเชื่อและเข้าใจเช่นนั้นด้วยการเผยแพร่จากสื่อมวลชนออกสู่สาธารณะ ดังเช่น “มหาดไทยวางแผนย้ายม้งวัดถ้ำกระบอกเข้าสู่ศูนย์อพยพที่โคราช เพราะมีจำนวนมาก และพยายามจะตั้งหลักแหล่งถาวรที่ประเทศไทย” (กรุงเทพธุรกิจ, 2540) “แก๊งยาบ้ากำแหง จับตร.เรียกค่าไถ่ โดนม้งลากขึ้นเขา” (ไทยรัฐ, 2541) พร้อมๆ กับการเผยแพร่ภาพลักษณ์นี้สู่สาธารณะต่างก็ได้สร้างความคิดว่าชาวม้งและชนบนที่สูงเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับความช่วยเหลือให้พ้นไปจากปัญหา ภาพลักษณ์และสถานการณ์เช่นนี้ล้วนสร้างภาพลบแก่ชาวม้งให้ถูกกีดกันและถูกประทับตราจากสังคมให้กลายเป็นผู้ต่ำต้อยทางศีลธรรมและเบียดขับชาวม้งให้กลายเป็นคนชายขอบของสังคมไปในที่สุด
                แต่หากกลับไปพิจารณาข้อมูลในประวัติศาสตร์เพื่อฉายภาพลักษณ์ฝิ่นของสังคมทั่วไปกับภาพลักษณ์ฝิ่นของชาวม้งและชนบทที่สูงกลับพบภาพลักษณ์ของฝิ่นที่ทับซ้อนกันมากมายหลายภาพ และปรับเปลี่ยนไปมาจนถึงปัจจุบัน ในสังคมตะวันตก ก่อนที่ฝิ่นจะกลายเป็นสิ่งผิดศีลธรรมและกลายเป็นยาเสพติด ภาพลักษณ์ฝิ่นของสังคมตะวันตกยุคล่าอาณานิคม คือ พืชที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของพ่อค้าและรัฐบาลตะวันตก จนฝิ่นแพร่ระบาดไปทั่วเอเชีย จากนั้น ฝิ่นยังกลายเป็นพืชการเมืองเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของประเทศจีน และถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักล่าอุดมการณ์เสรีนิยมอย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มอำนาจต่างๆ จนสร้างกระบวนการค้าฝิ่นบนภูเขาให้เติบโตขึ้นในเขตสามเหลี่ยมทองคำ
                ขณะที่ในวิถีวัฒนธรรมของชาวม้งและชนบนที่สูง ฝิ่นกลับมีภาพลักษณ์และมิติอันหลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่เชื่อมโยงกับความรู้พื้นบ้านและวัฒนธรรมทั้งในแง่การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน การเป็นพืชองค์ประกอบของระบบการผลิตเพื่อการยังชีพที่สอดคล้องกับระบบนิเวศบนภูเขา และเป็นพืชเศรษฐกิจที่ใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของอันจำเป็น สะสมเป็นเงินทองเป็นค่าสินสอดและใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ ครอบครัวและชุมชน ตลอดจนฝิ่นยังถูกใช้แสดงเป็นเครื่องแสดงความมั่งคั่งในชีวิตและสถานภาพต่อสังคม ความสำคัญของฝิ่นต่อชาวม้งยังแทรกซึมลงไปในวิธีคิดและอุดมการณ์ของชาวม้งซึ่งสะท้อนให้เห็นในตำนาน พิธีกรรมความเชื่อและเรื่องเล่าต่างๆ ของสังคมม้ง แต่ภาพลักษณ์ฝิ่นที่มีความหลากหลายและทับซ้อนไปมาเหล่านี้ได้ถูกลดทอนให้เหลือเพียงภาพลักษณ์ของยาเสพติดในปัจจุบันที่เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ชาวม้ง ซึ่งได้กลายเป็นภาพตีตราชาวม้งและชนบนที่สูงให้กลายเป็นผู้ต่ำต้อยทางศีลธรรมของสังคมและกักขังชาวม้งให้ติดอยู่กับอัตลักษณ์ที่ตายตัวในปัจจุบัน
                ความหมายของฝิ่นที่ถูกสร้างขึ้นจากปฏิบัติการทางภาษา (Discursive Practices) แต่ในยุคสมัยบนฐานการเมืองเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมครอบงำซึ่งได้สร้างชุดวาทกรรมครอบงำผ่านการสร้างภาพตัวแทน/ผลิตชุดความหมายเพื่อสนองตอบต่อผลประโยชน์ของตนกับชาวม้งซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ด้อยอำนาจ ที่ถูกจัดวางและถูกเบียดขับจากวาทกรรมครอบงำชุดนี้ การกักขังโดยการสร้างภาพตัวแทน (Representation) ของฝิ่นเป็นชุดวาทกรรมครอบงำที่เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของชาวม้ง โดยภาพตัวแทนและชุดนิยามความหมายของฝิ่นว่าเป็นยาเสพติดได้สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐ และวัฒนธรรมครอบงำได้เข้าไปควบคุมจัดและการชีวิตของชาวม้งบนแนวบนแนวคิด “การพัฒนา” ผ่านกระบวนการใช้อำนาจต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าการกำหนดนโยบาย มาตรการ กฎหมาย รวมไปถึงการใช้องค์กร/หน่าวยงานรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการแห่งการกักขัง (Agent of Containment) ทำการควบคุมดูแลนโยบาย มาตรการ และโครงการต่างๆ สามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยการปฏิบัติการทางภาษาที่ผลิตและขยายองค์ความรู้ด้านยาเสพติดกับชาวม้งและชนนบนที่สูง มีการสร้างทฤษฎีจำแนกแยกแยะ สร้างกลไกจำแนกชาวม้งและชนบนที่สูงออกจากกลุ่มคนอื่นๆ มีมาตรการเฉพาะต่อการควบคุมจัดการปัญหาการปลูกฝิ่นของชนบนที่สูงเพื่อตอกย้ำการ “มีอยู่” ของภาพตัวแทนและวาทกรรม
                อย่างไรก็ตามชาวม้งก็มิได้ยอมจำนน เป็นผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว หากแต่ชาวม้งยังอยู่ในสถานะที่เป็นผู้กระทำ (Subject) ที่ต่อสู้ดิ้นรน (Active) ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน ทั้งด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน ผ่านกระบวนการในการนำเสนอตัวตนผ่าน หมอยาพื้นบ้านที่วิจารณ์รัฐ หมอผีพื้นบ้านสร้างตำนานขึ้นมาตอบโต้ การดื้อแพ่งเพิกเฉย การประชดประชันโดยการไม่รับความช่วยเหลือใดๆ การสร้างภาพใหม่เป็นชุมชนปลอดยาเสพติด การเป็นผู้มีการศึกษาโดยการเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยในเมือง
กระบวนการสร้างพื้นที่ทางสังคมของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบ[16]
                “ผีปอบ” เป็นผีที่เกิดจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตามความเชื่อของคนอีสานแล้วผีปอบเป็นผีที่ให้โทษ เนื่องจากผู้ที่ถูกชาวบ้านกล่าวหาว่าเป็นปอบจะได้รับความเดือดร้อนจากความเกลียดชังของชาวบ้าน ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็เกิดความกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากผีปอบ มูลเหตุแห่งการเป็นผีปอบนั้นมีสาเหตุมาจากหลายประการ เช่น การเรียนเวทย์มนต์คาถาชนิดต่างๆแล้วทำผิดข้อห้ามหรือข้อ “ขะลำ” ถือเครื่องรางของขลัง มีว่านชนิดต่างๆ เช่น ว่านผีปอบ และว่านกระจาย เป็นต้น และคนที่มีพ่อหรือแม่เป็นปอบแล้วสืบทอดมาสู่ลูกหรือญาติมิตรคนคนสนิท เรียกว่า “ปอบเชื้อ” นอกจากนั้นยังมีสาเหตุมาจากการที่คนที่ผีปอบแฝงอยู่เสียชีวิต หรือผีปอบที่แฝงอยู่คนๆนั้น ถูกหมอธรรมหรือผู้มีเวทย์ทำพิธีขับไล่ออกจากร่างผู้ที่เป็นปอบ ผีปอบผู้ที่ข้าวของเสียชีวิตหรือถูกหมอธรรมขับไล่จะล่องลอยไปตามที่ต่างๆ โดยที่เวทย์มนต์ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้สามารถไปแฝงอยู่ในร่างกายของคนอื่นต่อไปได้ สำหรับผู้ที่ถูกชาวบ้านเชื่อว่าเป็นผีปอบนั้น จะได้รับผลกระทบทางสังคมเป็นอย่างมาก บางคนถึงกับอยู่ร่วมในสังคมนั้นไม่ได้ แม้ว่าเรื่องความเชื่อเรื่องผปอบในสังคมคนอีสานจะไม่มีนักวิชาการยืนยันหรือมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ามีจริงหรือไม่ก็ตาม ปรากฏการณ์ความเชื่อทางสังคมดังกล่าว ก็ยังได้รับการถ่ายทอดมาสู่คนอีสานรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นมรดกทางความเชื่อของชาวอีสานโดยปริยาย
                ความเชื่อเรื่องผีปอบมีลักษณะพิเศษกว่าผีอื่นอื่นตรงที่เป็นคน เชื่อกันว่าคนที่เล่นของเล่นคาถาอาคมแล้วทำผิดข้อห้ามจะกลายเป็นปอบ คนที่เป็นปอบชอบไปสิงอยู่ในผู้คนเพื่อกินตับไตไส้พุง จนคนที่ถูกสิงตาย หรือบางคนมีวิชาอาคมอาจเลี้ยงผีปอบไว้ เพื่อไปทำลายผู้คนที่ตนเกลียดให้เจ็บป่วยล้มตายไป ใครก็ตามที่ถูกชาวบ้านเชื่อว่าเป็นปอบจะถูกขับไล่ไสส่งออกจากหมู่บ้าน เป็นที่เกลียดกลัวของผู้คน นอกจากพวกที่เป็นปอบพระทำผิดข้อห้าม ยังมีคนที่ถูกเชื่อว่าเป็นปอบเพราะสืบทอดมาจากพ่อแม่พี่น้อง พวกนี้เรียกกันว่า “ปอบเชื้อ” คนที่เป็นอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนก็ได้ มารู้ก็ต่อเมื่อคนที่ถูกผีปอบเข้า “ออกปาก” เวลาถูกหมอธรรม หมอผีไล่ ต้องมารับเคราะห์หลบลี้ไปอยู่ที่อื่นหรือไปหาคนรักษา การที่ปอบทำร้ายคนนี้เอง ทำให้คนที่ถูกชาวบ้านเชื่อว่าเป็นปอบจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน เป็นที่เกลียดกลัวของผู้คน การที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบนี้จะมีผลกระทบต่อผู้ถูกกล่าวหาเป็นอย่างมาก ชาวบ้านเกลียดชัง และบางทีชาวบ้านก็รุมทำร้าย ผู้ที่เป็นปอบต้องเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ แม้ว่าจะมีบ้านเรือน ที่ดิน ไร่นา เป็นของตนเองก็ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ได้ ทำให้ต้องหนีไปอยู่ที่อื่นๆ ที่ไม่มีคนรู้จัก
                หากพิจารณาในทางสังคมวิทยา คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบจะมีลักษณะของการเป็นตนชายขอบ เป็นคนที่สังคมส่วนใหญ่ในชุมชนนั้นไม่ต้องการพวกเขา เป็นเหมือนกับกลุ่มคนที่เป็นเอดส์หรือกลุ่มคนที่เป็นคนเก็บขยะ เป็นกลุ่มคนที่หาพื้นที่ในสังคมปกติได้ยาก พวกเขาต้องพยายามที่จะดำรงอยู่ในสังคมและพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับสังคมส่วนรวมได้
ภาวะการกลายเป็นคนชายขอบของผู้ป่วยเอดส์[17]
                ปัญหาการเบียดขับและกีดกันผู้ป่วยเอดส์นั้นมีเหตุปัจจัยประกอบกันหลายประการ ประการสำคัญมาจากผลของการประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์แก่ประชาชนโดยรัฐนั่นเอง กล่าวคือการควบคุมและป้องกันโรคเอดส์ในระยะแรก มุ่งเน้นไปที่การประชาสัมพันธ์เรื่องโรคเอดส์โดยการสร้างนิยามความหมายที่เกี่ยวข้องกับ “โรคเอดส์” ในสังคมไทยไปสู่ยุคลากรของภาครัฐ สื่อมวลชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปโดยเน้นกลวิธี “เขียนเสือให้วัวกลัว” ด้วยการผูกโยงเรื่องโรคเอดส์เข้ากับสิ่งที่มีอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต เช่น การนำเสนอภาพของผู้ป่วยเอดส์ในระยะสุดท้ายที่มีความน่าเกลียดน่ากลัวและทุกข์ทนทรมาน ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อความเข้าใจของประชาชนและปฏิกิริยาต่อผู้ป่วยเอดส์ ต่อมามีการปรับเปลี่ยนนโยบายและการประชาสัมพันธ์มนเรื่องโรคเอดส์ใหม่ โดยเน้นให้เข้าใจ สงสาร ยอมรับและช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอดส์ให้มากขึ้น แต่ยังมาสามารถลบล้างความเข้าใจเดิมๆเกี่ยวกับโรคเอดส์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกเพราะเป็นสิ่งที่ขัดขวางการเข้าถึงผู้ติดเชื้อเอดส์ในแง่มุมต่างๆ ได้แก่การสร้างความตระหนักให้รับผิดชอบต่อสังคม และทำให้งานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ เช่น การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ก็จะดำเนินไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากผู้ป่วยเอดส์ไม่ยอมที่จะเปิดเผยตนเองต่อสังคมเพราะเกรงว่าจะถูกรังเกลียดและถูกเบียดให้ตกขอบจากสังคมทำให้ไม่กล้ารักษาพยาบาลและจำยอมรับสภาพภาวะการกลายเป็นคนชายขอบโดยดุษฎี
                ผู้ป่วยเอดส์ต้องทุกข์ทรมานกับการเจ็บป่วยทางร่างกายและเผชิญกับปฏิกิริยาของคนในสังคม เช่น การถูกปฏิเสธจากสังคมโดยถูกมองว่าเป็นคนเลว ประพฤติผิดศีลธรรม และเป็นอันตรายต่อสังคม เนื่องจากการให้ข้อมูลเชิงสัญลักษณ์กับผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งนำไปสู่การอคติแล้วการแบ่งแยกซึ่งสะท้อนให้เห็นปฏิกิริยาของสังคมที่แสดงความหวาดกลัว รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่ยอมรับ กีดกัน ต่อต้าน ริดรอนสิทธิประโยชน์และโอกาสรับบริการต่างๆจากสังคม และเกิดผลกระทบตามมาคือ ผู้ป่วยเอดส์ถูกให้ออกจากงาน ต้องเปลี่ยนงาน หรือมาสามารถทำงานต่อไปได้ ทำให้ขาดรายได้ สูญเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา สูญเสียบทบาทหน้าที่ ไม่มีที่อยู่อาศัย ถูกปฏิเสธจากครอบครัว ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว สูญเสียสัมพันธภาพระหว่างบุคคล และสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งควรจะได้รับความเข้าใจ อภัย และให้โอกาสผู้ป่วยเอดส์ ให้มีพื้นที่อยู่ในสังคม เช่น เดียวกับผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน วัณโรค หรือคนปกติทั่วไป
                แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็บ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธในการรักษา ซึ่งปฏิกิริยาที่แสดงออกไม่เห็นใจผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทำให้ผู้ป่วยเอดส์มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และไม่มารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่กล้าที่จะบอกกับนายจ้าง เพื่อนร่วมงาน เพราะเกรงว่าจะรับรู้เรื่องการติดเชื้อเอชไอวี และจะถูกไล่ออกจากงาน ทำให้ขาดรายได้เพื่อเลี้ยงชีพและครอบครัว ส่วนปฏิกิริยาของชุมชนที่มีต่อผู้ป่วยเอดส์และครอบครัว พบว่าได้รับการปฏิบัติในเชิงลบ เช่น เมื่อผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตเพื่อนบ้านไม่กล้ามาร่วมงานศพหรือหากมาร่วมก็ไม่กล้าที่จะรับประทานอาหาร หรือน้ำที่ทางครอบครัวผู้ป่วยเอดส์นำมาเลี้ยง เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะติดเชื้อเอชไวี โดยผ่านทางอาหาร
ความรู้สึกของผู้ป่วยเอดส์ที่ต้องกลายเป็นคนชายขอบในสังคม คือความรู้สึกเจ็บปวดและทรมาน อ้างว้างเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในวัฒนธรรมของตนเอง จึงต้องการให้สังคมให้โอกาสและยอมรับในฐานะบุคคลคนหนึ่งและมีพื้นที่ยืนในสังคม สามารถประกอบอาชีพ มีรายได้อยู่อย่างครอบครัวอย่างปกติสุข แต่สังคมไม่เปิดโอกาสและตั้งข้อรังเกียจนานัปการ จึงทำให้ผู้ป่วยเอดส์ไม่มีพื้นที่ในสังคม ไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลเมื่อเจ็บป่วยจากครอบครัวและญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านไม่คบหาสมาคมด้วย และต้องหาที่พักพิงก่อนตายตามลำพัง ซึ่งความเป็นชายขอบไม่เฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่ยังต้องทุกข์ทนทรมานกับความเจ็บป่วยทางร่างกายและถูกตอกย้ำให้เจ็บป่วยทางจิตใจอีกด้วย

บทสรุป
                การศึกษาคนชายขอบได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิธีคิดเชิงเดี่ยวที่ยึดติดอยู่กับกรอบคิด หน่วยทางสังคม และความหมายอย่างตายตัวนั้น ไม่สามารถอธิบายกระบวนการที่ซับซ้อนของความเป็นชายขอบได้ เพราะคนชายขอบมีลักษณะที่หลากหลายและกว้างขวาง ขณะที่สามารเกิดขึ้นได้กับกลุ่มคนต่างๆ มากมายภายใต้กระบวนการและบริบททางสังคมที่ซับซ้อน แต่ต้องอาศัยแนวการคิดวิเคราะห์ด้วยวิธีคิดเชิงซ้อน ที่มองว่าคนนั้นมีชีวิต อยู่ในความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างเคลื่อนไหว บนพื้นฐานที่ว่า คนสามารถสร้างความหมายหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ในการดำรงชีวิตอยู่ในบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อันเนื่องมาจากการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ซึ่งต้องเรียนรู้และต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นคนของตนเอง ด้วยการผลิตความหมายและสร้างวาทกรรมต่างๆ ทั้งในแง่ของความรู้ พื้นที่ อัตลักษณ์ และบทบาท ให้มีลักษณะสลับซับซ้อนและเลื่อนไหลโดยไม่มีความหมายที่คงที่ ในความพยายามที่จะโต้ตอบและต่อรองกับการครอบงำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการกีดกันให้สูญเสียอำนาจ และกระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์ ซึ่งพยายามเปลี่ยนวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้า และกักขังอัตลักษณ์ด้วยการติดป้ายให้มีความหมายตายตัวในแง่ลบ เพราะกระบวนการเหล่านี้ต่างล้วนผลักดันให้มนุษย์กลายเป็นคนชายขอบ ในขณะเดียวกันกระบวนการดังกล่าวก็ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกหนทุกแห่งในสังคมไทย ภายใต้วัฒนธรรมบริโภคนิยมของกระแสโลกาภิวัตน์
                ดังนั้นการศึกษากระบวนการเรียนรู้และการต่อสู้ของคนชายขอบทั้งหลายจะช่วยให้เข้าใจศักยภาพของความเป็นคนว่าสามารถดำรงอยู่ได้อย่างไร แม้จะตกอยู่ในสถานภาพที่ถูกลดทอนความเป็นคนอย่างถึงที่สุดก็ตาม ก็จะพบในกรณีศึกษาต่างๆ ว่า คนชายขอบไม่เคยยอมถูกกักขังให้อยู่ในกรอบที่ตายตัวแต่จะขัดขืนต่อสู้ ด้วยการเรียนรู้และสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับตัวให้มีชีวิตอยู่ได้ในพื้นที่และอัตลักษณ์ที่ซับซ้อนสลับไปสลับมา ศักยภาพดังกล่าวของคนชายขอบ ในด้านหนึ่งนับว่ามีนัยสำคัญต่อความเข้าใจวัฒนธรรมของการเรียนรู้ท่ามกลางการต่อสู้ในชีวิตจริง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งนั้น ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการสร้างประชาสังคม ที่ต้องการให้ทุกส่วนของสังคมมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงเพราะจะช่วยลดช่องว่างในสังคมปัจจุบันที่นับวันจะมองคนที่แตกต่างกันทางสังคมและวัฒนธรรมจากแง่มุมของ “ความเป็นอื่น” (The Otherness) มากขึ้น ซึ่งมักแฝงไว้ด้วยนัยของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม โดยชี้ให้เห็นพลังของความเป็นคนว่าสามารถดำรงอยู่ได้อย่างหลากหลาย ในด้านกลับกันศักยภาพในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันของคนชายขอบก็จะกลายเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยด้วยการสร้างความเข้าใจที่หลากหลายในการปรับตัวของมนุษย์ต่อทิศทางการเปลี่ยนแปลง ที่นับวันจะยิ่งทวีความไม่แน่นอน ขณะที่สังคมไทยต้องร่วมอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์อย่างไร้ความสามารถ ในการกำหนดชะตากรรมของตนเองมากขึ้นทุกที
                ถ้าหากสังคมไทยต้องการเห็นการต่อสู้ของคนชายขอบ แสดงทั้งพลังของความเป็นมนุษย์และพลังสร้างสรรค์อย่างแท้จริง จะต้องช่วยกันขจัดเงื่อนไขปิดกั้นต่างๆ ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของสังคม ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดเชิงเดี่ยวในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะความคิดเกี่ยวกับสิทธิ ตลอดจนโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่บิดเบือน เพราะเงื่อนไขเหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดผลด้านลบโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ อีกทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนมักกล่าวโทษคนที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหลายว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ในสังคม ยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นเสมือนเส้นผมที่บังภูเขา ซึ่งปิดกั้นสายตาของตนเองไม่ให้สนใจในการแสวงหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ทั้งนี้เพราะสาเหตุที่แท้จริงก็คือส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่ปิดกั้นเหล่านั้นนั่นเอง
                นอกจากจะต้องช่วยกันขจัดเงื่อนไขที่ปิดกั้นต่างๆ แล้ว ภาคประชาสังคมคงจะต้องร่วมกันสร้างเงื่อนไขที่สนับสนุนกลุ่มคนทุกๆ กลุ่มในสังคมไทยให้สามารถแสดงพลังของความเป็นคนและพลังสร้างสรรค์คือย่างอิสระมากขึ้นด้วยการหันมาสนใจเปิดพื้นที่ทางสังคมใหม่ๆ จากความคิดในประเด็นต่างๆ เช่น ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ สิทธิชุมชน สิทธิเชิงซ้อน ระบบกฎหมายเชิงซ้อน และการจัดการแบบมีส่วนร่วม ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะความหมายของพื้นที่ทางสังคมใหม่ๆ นั้น ล้วนได้มาจากการเรียนรู้และการต่อสู้ของคนชายขอบนั่นเอง ซึ่งจะไม่มีความหมายอย่างตายตัว แต่เปิดกว้างให้ทุกคนทุกกลุ่มมีส่วนร่วมในการให้ความหมายอย่างอิสระ เพื่อจะช่วยกันสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ทางสังคมขึ้นมาใหม่ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิของความเป็นคนอย่างเท่าเทียมกัน


[1] บทความนำเสนอรายวิชา 415 710 สังคมวิทยาการพัฒนา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554
[2] นักศึกษาหลักสูตรปริญญาโทสาขาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
[3] เก็บความคำว่า “Marginalization” ใน The concise oxford dictionary of sociology, 1996, p.304. อ้างใน สุริชัย หวันแก้ว. กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
[4] แปลโดย ปราโมทย์ ตั้งเกียรติกำจาย จาก “Marginality” ใน Charlotte Seymour-Smith. MacMillan Dictionary of Anthropology. London: MacMillan, 1986. p.177-178. อ้างใน สุริชัย หวันแก้ว. กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
[5] ชูศักดิ์ วิทยาภัค บรรณาธิการ. “บทนำ: สังคมศาสตร์กับการศึกษาคนชายขอบ, วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 11: 1, 2541, น.17-18.
[6] สุริยา สมุทคุปติ์ และพัฒนา กิติอาษา. มานุษยวิทยากับโลกาภิวัตน์: รวมบทความ. นครราชสีมา: ห้องไทยศึกษานิทัศน์, สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม, มหาวิทยาลัยสุรนารี, 2542, น.21.
[7] Seymour-Smith, Charlotte. Dictionary of Anthropology. London: MacMillan Press, 1986, p.177. อ้างใน สุริยา สมุทคุปติ์ และพัฒนา กิติอาษา. มานุษยวิทยากับดลกาภิวัตน์: รวมบทความ. นครราชสีมา: ห้องไทยศึกษานิทัศน์, สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม, มหาวิทยาลัยสุรนารี, 2542, น.22.
[8] ทวิช  จตุวรพฤกษ์. เสียงจากคนชายขอบ. เชียงใหม่: เครือข่ายชาติพันธุ์ศึกษาศูนย์ภูมิภาคเพื่อการศึกษาสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541.
[9] บุญเลิศ  วิเศษปรีชา. โลกของคนไร้บ้าน. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2546.
[10] สิริพร สมบูรณ์บูรณะ. วิถีชีวิตคนใน “ชุมชนชายขอบ” ของสังคมเมือง : กรณีศึกษาคนคุ้ยขยะในชุมชนกองขยะชานเมือง. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2545.
[11] สุไลพร  ชลวิไล. หญิงรักหญิง : ผู้หญิงของความเป็นอื่น. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ม.ป.ป.
[12] สายพิณ  ศุพุทธมงคล. คุกกับคน: อำนาจและการต่อต้านขัดขืน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543.
[13] ธนะจักร เย็นบำรุง. ความเป็นชายขอบ : กุญแจสู่ความเข้าใจปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้, เอกสารสรุปสัมมนาวิชาการสมานฉันท์แก้ปัญหาสังคมขัดแย้งได้อย่างไร. ขอนแก่น: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2548.
[14] โสภิดา วีรกุลเทวัญ. การนำเสนอความเป็นตัวตนของหญิงบาร์เบียร์. เชียงใหม่ : มูลนิธิผู้หญิง กฎหมาย และการพัฒนาชนบท และศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2546.
[15] อรัญญา ศิริผล. ฝิ่นกับคนม้ง : พลวัตความหลากหลายและความซับซ้อนแห่งอัตลักษณ์ของคนชายขอบ. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544.
[16] พระมหาสัมภาษณ์ ไชยตะมาตย์. กระบวนการสร้างพื้นที่ทางสังคมของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2553.
[17] อรอุษา ภูมิบริรักษ์. ภาวะการกลายเป็นคนชายขอบของผู้ป่วยเอดส์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2547.
______________________________________________________________________________________________

บรรณานุกรม
ขวัญชีวัน บัวแดง. การเปลี่ยนศาสนา : ความซับซ้อนของการแสดงตัวตนของคนกะเหรี่ยงทางภาคเหนือของประเทศไทย, ใน ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี บรรณาธิการ. อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความเป็นชายขอบ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2546.
ชูศักดิ์ วิทยาภัค บรรณาธิการ. “บทนำ: สังคมศาสตร์กับการศึกษาคนชายขอบ, วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 11: 1, 2541.
ทวิช  จตุวรพฤกษ์. เสียงจากคนชายขอบ. เชียงใหม่: เครือข่ายชาติพันธุ์ศึกษาศูนย์ภูมิภาคเพื่อการศึกษาสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541.
ธงชัย วินิจจะกูล. ประวัติศาสตร์การสร้าง “ตัวตน”, ใน สมบัติ จันทรวงศ์ และชัยวัฒ สถาอานันท์ บรรณาธิการ. อยู่เมืองไทย: รวมบทความทางสังคมเพื่อเป็นเกียรติแด่ ศ.เสน่ห์ จามริก ในโอกาสครบรอบ 60 ปี. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530.
ธนะจักร เย็นบำรุง. ความเป็นชายขอบ : กุญแจสู่ความเข้าใจปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้, เอกสารสรุปสัมมนาวิชาการสมานฉันท์แก้ปัญหาสังคมขัดแย้งได้อย่างไร. ขอนแก่น: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2548.
นรินทร คูณเมือง. ความเป็นชายขอบในชาติพันธุ์ถิ่น-ยวนในจังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2550.
บุญเลิศ  วิเศษปรีชา. โลกของคนไร้บ้าน. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2546.
ปนัดดา  บุณยสาระนัย. ชาวอาข่าในเชียงใหม่ : ภาวะจำยอมต่อภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างกับการต่อสู้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ถูกต้อง, ใน ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี บรรณาธิการ. อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความเป็นชายขอบ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2546.
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี. ชาติพันธุ์  อัตลักษณ์  และชายขอบในความเคลื่อนไหว, ใน อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความเป็นชายขอบ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2546.
พระมหาสัมภาษณ์ ไชยตะมาตย์. กระบวนการสร้างพื้นที่ทางสังคมของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2553.
ลัดดา  ประสพสมบัติ. การขยายตัวของระบบสินเชื่อแบบผ่อนส่งและการโต้ตอบของผู้บริโภคสินค้า
ในชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท จังหวัดลำพูน.วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544.
วิเศษ สุจินพรัหม. การเคลื่อนไหวในพื้นที่สาธารณะของผู้หญิงในการจัดการป่าชุมชนจังหวัดลำพูน.วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544.
สายพิณ  ศุพุทธมงคล. คุกกับคน: อำนาจและการต่อต้านขัดขืน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543.
สิริพร สมบูรณ์บูรณะ. วิถีชีวิตคนใน “ชุมชนชายขอบ” ของสังคมเมือง : กรณีศึกษาคนคุ้ยขยะในชุมชนกองขยะชานเมือง. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2545.
โสภิดา วีรกุลเทวัญ. การนำเสนอความเป็นตัวตนของหญิงบาร์เบียร์. เชียงใหม่ : มูลนิธิผู้หญิง กฎหมาย และการพัฒนาชนบท และศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2546.
สุริชัย หวันแก้ว. กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
______________. คนชายขอบ: จากความคิดสู่ความจริง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2550.
สุริยา สมุทคุปติ์ และพัฒนา กิติอาษา. มานุษยวิทยากับโลกาภิวัตน์: รวมบทความ. นครราชสีมา: ห้องไทยศึกษานิทัศน์, สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม, มหาวิทยาลัยสุรนารี, 2542.
สุไลพร  ชลวิไล. หญิงรักหญิง : ผู้หญิงของความเป็นอื่น. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ม.ป.ป.
อรัญญา ศิริผล. ฝิ่นกับคนม้ง : พลวัตความหลากหลายและความซับซ้อนแห่งอัตลักษณ์ของคนชายขอบ. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2544.
อานันท์ กาญจนพันธุ์. การต่อสู้เพื่อความเป็นคนของคนชายขอบในสังคมไทย, ใน อยู่ชายขอบมองลอดความรู้: รวมบทความเนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี ฉลาดชาย รมิตานนท์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2549.
อรอุษา ภูมิบริรักษ์. ภาวะการกลายเป็นคนชายขอบของผู้ป่วยเอดส์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2547.