ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการสร้า้งสังคมแห่งการเรียนรู้...

หากต้องการลงบทความ/งานเขียนของท่าน สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทางเว็บบอร์ด หรือทางอีเมล์แอดเดรส; po_kenchin@hotmail.com
หรือจะสมัครสมาชิกอย่างเดียวก็ได้นะครับ

13 มีนาคม 2555

ดนตรีอีสาน แรงงานอารมณ์ และคนพลัดถิ่น (Popular Music, Emotional Labor, and Isan Diaspora) ตอนที่ 4

พัฒนา กิติอาษา 

ตอนที่ สี่

จาก ไปไทยถึง ไปนอก”:
เส้นทางของคนพลัดถิ่นกับวัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมอีสาน

                ในข้อเขียนชิ้นสำคัญที่สุดของการวิเคราะห์เนื้อร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงราวกลางทศวรรษที่ 2520 นิธิ เอียวศรีวงศ์นำเสนอว่า ข่าวสารสำคัญที่ปรากฏในเนื้อเพลงลูกทุ่งคือ ข่าวสารของความทันสมัยและเพลงลูกทุ่งมีฐานะเป็น สื่อของเมืองท่านชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางความงงงวยที่ชาวชนบทต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว สิ่งใหม่ที่กระทบวิถีชีวิตของเขาซึ่งเรียกรวมๆ ว่า ความทันสมัยนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น จัดการให้อยู่ในอำนาจได้สะดวกขึ้น และไม่สั่นคลอนชีวิตจนเกินไป เมื่อฟังหรือชมเพลงลูกทุ่ง นอกจากนี้ เนื้อหาของเพลงลูกทุ่ง ซึ่งแทรกโลกสมัยใหม่อยู่ตลอดเวลานั้น ยังช่วยบอกชาวชนบทว่าเขายืนอยู่ที่ใดในโลกสมัยใหม่ที่เริ่มจะสับสนขึ้นนี้ ขอบเขตของชีวิตที่กว้างขึ้นตามที่ปรากฏในเพลงลูกทุ่ง ทำให้เขามองการไปทำงานซาอุฯ ของลูกชาย การไปทำงานโรงงานในกรุงเทพฯ ของลูกเขย และการไปเป็นลูกจ้างหรือหญิงบริการของลูกสาวอย่างมีความเข้าใจมากขึ้น ท่ามกลางการขยายตัวอย่างรวดเร็วของขอบเขตชีวิตจนก่อให้เกิดความสับสน เนื้อเพลงลูกทุ่งบอกให้ชาวชนบทรู้ว่าที่ของตนเองในโลกกว้างนั้นเป็นอย่างไร  นิธิได้วิเคราะห์ฉีกแนวจารีตของการศึกษาเพลงลูกทุ่งโดยเน้นว่าเพลงลูกทุ่งแยกไม่ออกจากเมืองและความทันสมัย นิธิบอกกับพวกเราว่า ความเข้าใจที่ว่าลูกทุ่งเป็นผลผลิตของท้องทุ่งและชีวิตชนบทนั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ความจริงอีกครึ่งที่เหลือก็คือ เมืองและความทันสมัยเป็นหัวจิตหัวใจของเพลงลูกทุ่งและวงการลูกทุ่งไม่แพ้ชนบทและคติค่านิยมตามประเพณีดั้งเดิม เพลงลูกทุ่งไม่ได้บอกเพียงว่า โลกของคนชนบทเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด อย่างไร หากยังเน้นด้วยว่า คนชนบทนั้นจะทำความเข้าใจและจัดการกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

                ประเด็นการวิเคราะห์ข้างต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ผมมองเห็นว่า เนื้อเพลงส่วนหนึ่งของลูกทุ่ง หมอลำ และเพลงเพื่อชีวิตในรอบ 40 ปีที่ผ่านมาได้ก้าวข้ามการแบ่งแยกหรือความพยายามที่จะที่จะสื่อสารระหว่างเมืองกับชนบทหรือชีวิตทันสมัยกับชีวิตแบบดั้งเดิมตามประเพณี เนื้อร้องจำนวนมากของวัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมได้มุ่งนำเสนอความทรงจำ ความผูกพัน และการถักทอความหมายของชีวิตและชุมชนของคนพลัดถิ่น ในบริบทของโลกยุคโลกาภิวัตน์และการเดินทางพลัดพรากถิ่นที่อยู่ของผู้คนด้วยเหตุผลต่างๆ วัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมโดยเฉพาะในกรณีของภาคอีสานได้มุ่งเน้นการก่อเกิดและการต่อรองอัตลักษณ์วัฒนธรรมความทรงจำและความคิดฝันของคนพลัดถิ่นอย่างเข้มข้น ในที่นี้ ผมจะ เค้นความว่าด้วยอัตลักษณ์แห่งชีวิตและชุมชนคนอีสานพลัดถิ่นจากเนื้อร้องของเพลงลูกทุ่ง หมอลำ และเพลงเพื่อชีวิต ผมต้องการเน้นความสำคัญของการก่อรูป การขยายตัว และแบบแผนบางอย่างของชุมชนและอัตลักษณ์คนอีสานพลัดถิ่น ผมเชื่อว่า ชุมชนและอัตลักษณ์คนพลัดถิ่นในเนื้องเพลงถูกสร้างขึ้นมาจาก (1) ความทรงจำ (memories) เกี่ยวกับถิ่นฐานบ้านเกิด ท้องไร่ท้องนา ธรรมชาติแวดล้อม รสชาติอาหารการกิน ครอบครัว คนรัก และ(2) เรื่องเล่า (narratives) ในการเดินทางและประสบการณ์การท่องโลกและเผชิญโลกของตนเอง ข้อเขียนเกี่ยวกับคนพลัดถิ่นของนักวิชาการหลายท่าน  ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตและชุมชนคนพลัดถิ่นในบริบทของโลกยุคโลกาภิวัตน์หรือยุคสมัยแห่งการข้ามชาติข้ามแดนควรจะมีองค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ (1) บ้านเกิดเมืองนอน (homeland) (2) การพลัดพรากในรูปแบบต่างๆ (exile) (3) จิตสำนึกและความผูกพันเป็นห่วงของผู้คนทั้งที่อยู่บ้านและดินแดนปลายทางที่ห่างไกล (senses of nostagic belonging and emotional attachment) และ(4) การกลับไปเยือนแต่ไม่ใช่การกลับไปอยู่ (ambivalent return) ผมตั้งใจจะใช้กรอบคิดเหล่านี้ในการนำเสนอเนื้อเพลงเกี่ยวกับชีวิตและชุมชนคนพลัดถิ่นอีสาน

1. บ้านเกิดเมืองนอน: อีสานบ้านของเฮาการสร้างอัตลักษณ์ของชีวิตและชุมชนคนพลัดถิ่นในเนื้อเพลงลูกทุ่งและหมอลำอีสานเริ่มต้นจากการสร้างภาพและนำเสนอความคิดคำนึงเกี่ยวกับถิ่นฐานบ้านเกิด ในทศวรรษที่ 2510 และ 2520 ปรากฏว่ามีเนื้อเพลงและหมอลำจำนวนมากได้นำเสนอเกี่ยวกับสภาพอีสาน ในเพลง ลำนำอีสาน” (ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ประพันธ์ เทพพร เพชรอุบล ขับร้อง) ให้ภาพอุดมคติของหมู่บ้านอีสานว่า แผ่นดินอีสาน อยู่ยั้งยืนนานแต่กาลก่อนมา แม่โขงกอดแคว้นไทยเฮา... พริกเฮือนเหนือเกลือเฮือนใต้พึ่งพาอาศัย ข้าวน้ำซ่ามปลาเพลง อีสานบ้านของเฮา” (ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ประพันธ์ เทพพร เพชรอุบล ขับร้อง) บอกเล่าถึงสภาพชีวิตของอีสานบ้านนาและอาชีพทำไร่ทำนาของคนอีสานที่สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคน รุ่งแจ้งพอพุมพู ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา เร่งรุดไถฮุดนารีบนำฟ้าฝ้าวนำฝน อีสานบ้านของเฮาอาชีพเก่าแต่นานดล เอาหน้าสู้ฟ้าฝนเฮ็ดนาไร่บ่ได้เซาในเพลงเดียวกันนี้ก็บอกว่า ธรรมชาติแห่งบ้านนา ฝนตกมามีของกินชีวิตและความอยู่รอดของชาวอีสานย่อมขึ้นอยู่กับความปรานีของฟ้าฝน อาหารประเภท ของแซ่บอีสาน” (ครูเทพพร เพชรอุบล ประพันธ์และขับร้อง) มักจะอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษในฤดูฝนดังเนื้อเพลงท่อนที่ว่า มาน้องมาพี่จะพาไปอยู่อีสาน ไปกินแกงเห็ดละโงก ซดน้ำโก้กๆ ดอกตูมดอกบาน อีสานบ่อึดแนวกิน มีผักอีฮีนผักกุ่มผักหวาน บ่เชื่อให้นั่งรถผ่านสิเห็นอีสานอุดมสมบูรณ์กลอนลำจำนวนมากกล่าวถึงสภาพชีวิตดั้งเดิมของหมู่บ้านอีสานโดยเฉพาะหมู่บ้านชาวนาในก่อนยุคสมัยแห่งการพัฒนาในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ครองอำนาจ ราชินีหมอลำและศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ฉวีวรรณ ดำเนิน (ประพันธ์และขับร้อง/ลำ) ได้บอกเล่าถึง ชีวิตชาวนาที่ล้ำลึกในลักษณะเดียวกัน"เอ๋ออันนี่พ่อแม่เอ๋ย เมษายนกลายไปแล้วพฤษภาผัดมาต่อ ฝนตกลง จ้าก จ้าก จ้น ใบหญ้ากะโปงมา พวกชาวนาเตรียมไว้เทิงไถกับคราด ฝั่นเซือกไว้ประสงค์ได้เจ้าเฮ็ดนา ฟังเสียงจาคนเฒ่าสูเอ้ยฮอดมื้ออื่น พ่อเฒ่าจ้ำบอกลูกบ้านสิพาเลี้ยงเจ้าปู่ตา" ชาวนาได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่ชีวิตชาวนาเต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก ทั้งสามีและภรรยาที่เลี้ยงลูกอ่อนต่างก็ช่วยกันรีบเร่งงานในนาเพื่อให้ทันกับฟ้าฝน ขณะเดียวกันกลอนลำดังกล่าวก็บอกถึงประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำนาที่ต้องพึ่งพาน้ำฝนและความอุดมสมบูรณ์จากธรรมชาติ โดยเฉพาะพิธีเลี้ยงบ้านหรือเลี้ยงศาลปู่ตาภายใต้การนำของพ่อเฒ่าจ้ำ พิธีดังกล่าวต้องจัดเป็นประจำทุกปีเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝนและเป็นเสมือนสัญญาณของการเริ่มต้นงานหนักในฤดูทำนาประจำปี

เนื้อเพลงและเนื้อกลอนลำอีสานมีธรรมเนียมของการเล่าเรื่องที่ผูกพันกับชื่อและตำนานสถานที่ ครูเพลงลูกทุ่งมีกลวิธีสำคัญในการแนะนำหรือบอกเล่าสถานที่ต่างๆ ในภาคอีสาน โดยการสมมติเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวจากท้องถิ่นต่างๆ เพลง ตามน้องกลับสารคาม” (ครูถวิล ธิติบุตตา ประพันธ์ ศักดิ์สยาม เพชรชมภู ขับร้อง) เล่าเรื่องการตามหาหญิงคนรักของหนุ่มมหาสารคาม พี่ตามหาคนงาม จากสารคามไปถึงเมืองขอนแก่น สืบหาเนื้อเย็นแต่ไม่เห็นหน้าแฟน จากขอนแก่นไปอุดรธานีในเพลงเอก สาวอุบลรอรัก” (ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ประพันธ์ อังคนางค์ คุณไชย ขับร้อง) หญิงสาวจากลุ่มน้ำมูลได้ตัดพ้อคนรักใจง่ายของเธอด้วยการหยิบยกคำสัญญาขึ้นมากล่าวอ้าง สัญญาฝั่งมูลฤดูดอกคูนบานเหลืองตระการ สายธารแม่มูนไหลหลั่งดั่งธารสวรรค์ ลอยล่องเรือสุขเหลือสัญญาฮักมั่น บ่นึกว่าจะเปลี่ยนผันสิ้นแล้วสวรรค์แห่งลำน้ำมูลนอกจากนี้ เนื้อเพลงก็ระบุด้วยว่าคนอีสานในทางประวัติศาสตร์ ภาษาและวัฒนธรรมแล้วแยกไม่ออกจากลาวในสาธารณรัฐประชาชนลาว เป้าหมายก็คือ การตอบโต้ทัศนะในทางลบที่คนกรุงเทพฯ และคนไทยภาคอื่นที่มีต่อคนลาวและคำว่า ลาวในเพลง สาวอีสานรอรัก” (ครูสุมทุม ไผ่ริมบึง ประพันธ์ อรอุมา สิงห์ศิริ ขับร้อง) พรรณนาถึงตัวตนของสาวอีสานและถิ่นฐานบ้านช่องในอีสานว่า สาวอีสานบ้านป่าเช้าก็ไปทำนาค่ำแลงมาเหงาหงอย เขาว่าน้องเป็นลาวเป็นสาวเมืองอีสานใจน้องนั่นเลื่อนลอย จงเอ็นดูแนเดอ...อ้ายเดอ จงปรานีน้องแนจั๊กหน่อยฮักน้องบ่อยๆพอน้องได้พลอยดีใจ

2. การพลัดพราก ในคตินิยมและโลกทัศน์ของคนอีสาน การพลัดพรากโดยเฉพาะการพลัดพรากบ้านเกิดเมืองนอน พ่อแม่พี่น้อง และลูกเมียอันเป็นที่รักย่อมเป็นที่มาของความทุกข์ยากทั้งกายและใจ ในขณะเดียวกัน คนอีสานก็ยกย่องและให้คุณค่ากับการเดินทางไปทำงานและเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกกว้างว่าเป็น ผู้มีหูกว้างตาไกล”  การพลัดพรากย่อมหมายถึงการเดินทางไปเผชิญโชคชะตาและผู้คนแปลกหน้ามาจากแปลกถิ่นในโลกกว้าง ซึ่งเป็นชีวิตที่ต้องพานพบทั้งสุขและทุกข์ระคนกันไป การพลัดพรากของคนอีสานส่วนใหญ่ หมายถึงรูปแบบการเดินทางจากถิ่นฐานบ้านเกิดด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ การเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล หรือ ไปไทยกับการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ หรือ ไปนอก

ไปไทยโดยทั่วไป คนอีสานเรียกการอพยพแรงงานไปหางานทำในกรุงเทพฯ ว่า ไปไทยหรือการเดินทางมุ่งหน้าไปเผชิญโชคหางานทำยังดินแดนของคนไทยพูดภาษาไทยกลางโดยเฉพาะในเมืองหลวง การเดินทางดังกล่าวมีมานานสืบต่อเนื่องการกวาดต้อนเชลยสงครามจากเวียงจันทน์และการสักเลกเกณฑ์แรงงานมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในระหว่างหลังสงครามโลกครั้งที่สองกับก่อนชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ลาวใน พ.ศ. 2518 ปลายทางของการย้ายถิ่นแรงงานของคนอีสานคือ การ ข่วมของหรือข้ามไปหางานทำที่เวียงจันทร์หรือเมืองใหญ่ในประเทศลาวโดยเฉพาะคนอีสานที่มีภูมิลำเนาติดแม่น้ำโขง

อย่างไรก็ตาม เส้นทางหลักของแรงงานอีสานคือ การ ไปไทยคลื่นขบวนของแรงงานอีสานไปไทยได้ทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและสร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา รูปแบบของการเดินทางเคลื่อนย้ายเพื่อความก้าวหน้าทางสังคม รวมทั้งการพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนในวัฒนธรรมอีสานที่สำคัญคือ การย้ายถิ่นแรงงาน ธอมัส เคิร์ช (A. Thomas Kirsch) กล่าวถึงช่องทางสำคัญในการเดินทางเคลื่อนย้ายจากถิ่นที่อยู่และการเลื่อนสถานภาพทางสังคมของชาวภูไทแห่งอำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม (ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดมุกดาหาร) ในต้นทศวรรษที่ 2500 ว่าประกอบด้วยช่องทางสำคัญ 4 ช่องทาง ได้แก่ บวชพระ รับราชการ ศึกษาต่อในระบบโรงเรียน และเดินทางจากบ้านไปเที่ยวหาทำงานรับจ้างตามฤดูกาล  วัด โรงเรียนและระบบราชการเป็นสถาบันหรือช่องทางสำหรับการเลื่อนชั้นทางสังคมที่ชาวบ้านอีสานจำนวนไม่มากนักที่โชคดีมีโอกาสเข้าถึง ช่องทางดังกล่าวมักจะเปิดโอกาสให้กับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คงจะมีเฉพาะการย้ายถิ่นแรงงานเท่านั้นที่เป็นช่องทางเปิดกว้างสำหรับลูกหลานชาวนาและชาวบ้านทั่วไปทั้งชาย(และหญิง ในเวลาต่อมาโดยเฉพาะหลังทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมา) ผู้มีแรงงานและความอดทนตรากตรำงานหนักเป็นสมบัติล้ำค่าติดตัว

แวง พลังวรรณบันทึกความเห็นของคำพูน บุญทวี นักเขียนรางวัลซีไรท์ชาวอีสานผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านระบุว่า ปี พ.ศ. 2489 เป็นปีที่คนอีสานอพยพลงไปหางานทำในกรุงเทพฯจำนวนมาก ส่วนใหญ่มาจากอีสานใต้ เช่น ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี มหาสารคาม สุรินทร์ และศรีสะเกษ ส่วนทางอีสานเหนือนั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะจากจังหวัดชัยภูมิและจังหวัดเลยนั้นแทบไม่มีเอาเลย การเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ของชาวอีสานส่วนใหญ่นิยมใช้บริการรถไฟ ดังนั้นบริเวณที่มีคนอีสานรวมตัวกันอาศัยอยู่มากที่สุดในเวลานั้นจึงอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานีรถไฟต่างๆ เช่น สามเสน บางซื่อ และแหล่งใหญ่ที่สุดคือ หัวลำโพง มีบ้างที่กระจายกันอยู่บริเวณที่ห่างจากสถานีรถไฟหัวลำโพงออกไป เช่น ซอยหลังสวน บริเวณใต้สะพานพุทธฯ และละแวกใกล้เคียง คำพูนอธิบายสาเหตุที่คนอีสานยึดเอาสถานีรถไฟเป็นศูนย์กลาง เพราะไม่รู้จะไปไหน ยังไม่ชินกับสถานที่ต้องยึดกับสถานที่ที่เคยชินไว้ก่อน ผิดนักก็เกาะรถไฟกลับอีสานไปตายที่บ้านก็ทำได้สะดวก กล่าวกันว่า หัวลำโพงคือแหล่งนัดพบแรงงาน ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านแรงาน เป็นกองการจัดหางาน กรมแรงงานแห่งแรกของชาวอีสานในกรุง
               
ความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคอีสานในยุคสมัยแห่งการพัฒนา หรือยุค พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมดังที่ปรากฏในเพลง ผู้ใหญ่ลี” (อิง ชาวอีสาน ประพันธ์ ศักดิ์ศรี ศรีอักษร ขับร้อง) ไม่ได้ผล การพัฒนาไม่ได้สกัดคลื่นแรงงานอพยพหนีความจนยากจากอีสาน แต่กลับดึงดูดแรงงานส่วนเกินจากชนบทเข้าสู่เมืองมากยิ่งขึ้น ในเพลง บ่มีข้าวกิน” (ครูดาว บ้านดอน ประพันธ์และขับร้อง) บรรยายสภาพความแห่งแล้งกันดารอันเป็นที่มาของความยากจนข้นแค้นของคนอีสานไว้ว่า มองทุ่งนาน้ำตาพี่รินไหล อีสานแล้งดินระแหงจะทำยังไง ข้าวไม่มีจะกินน้ำตาไหลรินเฮ็ดจังได๋...ในที่สุดหนุ่มอีสานก็ต้องตัดสินใจ ลงไปไทยเพลง เซียงบัวล่องกรุง” (ครูสุรินทร์ ภาคศิริ ประพันธ์ ศักดิ์สยาม เพชรชมภู ขับร้อง) เป็นเพลงหนึ่งที่บรรยายภาพคนหนุ่มอีสานออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ เพื่อทำงานเก็บเงินมาแต่งงานกับสาวคนรัก หวูดรถไฟดังมาว่อนๆ แก้มอ่อนๆ ลาก่อนแหน่สาว อ้ายสิฟ้าวตีตั๋วรถไฟ ลงไปไทยทำงานจักหว่าง ไปรับจ้างหาเงินหาทอง ให้สาวคองอ้ายแหน่น้องหล้า ฮอดปีหน้าฟ้าใหม่ฝนดี สิกลับทันทีกินดองบักใหญ่คำว่า กินดองบักใหญ่ก็คือการจัดพิธีแต่งงานให้ยิ่งใหญ่ของไอ้หนุ่มบ้านนาผู้ไปตายเอาดาบหน้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ หนุ่มอีสานผู้มีแต่แรงกายเป็นสมบัติติดตัว ในเพลง ลูกทุ่งคนยาก” (ครูสุรินทร์ ภาคศิริ ประพันธ์ สนธิ สมมาตร ขับร้อง) เพลงประกอบภาพยนตร์แนวอีสานที่โด่งดังเรื่อง มนต์รักแม่น้ำมูล” (2520) เล่าเรื่องเส้นทางของนักร้องบ้านนอกจากแดนอีสานใต้ว่า ผมจรรอนแรมจากลุ่มน้ำมูล ทิ้งถิ่นดอกคูนเพราะความรู้น้อยต่ำต้อยเพียงดิน เอาเสียงสวรรค์สร้างสรรค์ด้านศิลปิน เป็นนักร้องลูกทุ่งพลัดถิ่น หากินอยู่กับเสียงเพลงนอกจากรถไฟแล้ว รถบัสโดยสารของบริษัทขนส่งจำกัด (บ.ข.ส.) ได้กลายมาเป็นพาหนะของแรงงานอีสานพลัดถิ่นโดยเฉพาะช่วงหลังการสร้างถนนมิตรภาพและถนนเครือข่ายยกระดับการคมนาคมขนส่งระหว่างภาคอีสานกับกรุงเทพฯ ศูนย์กลางความเจริญและแหล่งรองรับแรงงานผู้มี ความรู้น้อยต่ำต้อยเพียงดินจากทั่วประเทศ เพลง ด่วน บขส.” (ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ประพันธ์ สนธิ สมมาตร ขับร้อง) ใช้ฉากร่ำลาคนรักที่สถานีขนส่งอุบลราชธานีบอกการพลัดพรากของหนุ่มสาวคนรัก ด่วน บขส. ติดเครื่องชะลอจะจากหน้ามล เหลียวหลังยังเห็นหน้ามล คนสวยแฟนพี่โบกมือไหวไหว พี่ลาก่อนเน้อ บ่นานคงเจอกันใหม่ ยังคิดถึงแกงหน่อไม้ใส่จุ๊ดจี่น้อยฝีมือเนื้อทอง
               
กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร เป็นทั้งเมืองสวรรค์ เมืองนรก และทุกสิ่งทุกอย่างประดามีในท่ามกลาง คนอีสานต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบากในฐานะที่เป็นชนชั้นผู้ใช้แรงงานจากชายขอบในเมืองหลวง พวกเขาต้องก้มหน้ารับสภาพความเป็นอื่นและความเป็นคนชายขอบทั้งในทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และบรรทัดฐานของความทันสมัยแบบตะวันตกที่มีเมืองกรุงเป็นศูนย์กลาง คนอีสานทั้งชายหญิงทำงานใช้แรงงานที่หลากหลาย เช่น งานรับใช้ในครัวเรือน งานในโรงงาน งานตามร้านอาหารและสถานบริการ งานขับแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์และรถรับจ้างต่างๆ ในเพลง เด็กปั๊มเพลงดังของครูสีเผือก (อิศรา อนันตทัศน์) แห่งวง คนด่านเกวียนบอกว่า ข้อยจากอีสานมาหลายปี เข้ามาอยู่กรุงศรี วิไลเลิศฟ้า ทำงานแลกเงินเลี้ยงชีวา บริการเพิ่มพลังให้รถรา คนเขาขานนามว่า เป็นเด็กปั้มน้ำมัน” “คาราบาววงดนตรีเพื่อชีวิตชื่อดังอีกวงหนึ่งเรียกคนงานจากที่ราบสูงว่า คนนิรนามผู้มาจากทุกหัวระแหงของที่ราบสูงเพราะว่า อีสานบ้านเขามันแล้ง ดินแตกระแหง ผู้คนกระสานซ่านเซ็นพวกเขาพร้อมที่จะทำงานของผู้ใช้แรงงาน  เช่น งานหนัก งานเหนื่อย งานนาน ไม่เป็นคนเกียจคร้านทำได้ก็ทำเอา งานเหล็ก งานหิน งานทราย งานปูนงานไม้ ทำได้เอาทำเอา งานดีเงินดีงานเบา ใครจะจ้างพวกเขาคนนิรนาม” (คนนิรนาม, คาราบาว) ส่วนวง คาราวานเรียกคนงานก่อสร้างตามสถานที่ก่อสร้างว่า เป็นพวก ปลาไร้วัง” (ปลาไร้วัง, คาราวาน) มีวาสนาเพียงการร่อนเร่พเนจรไปหารับจ้างทำงานที่ใหม่หลังจากงานเก่าสิ้นสุดลง ในเพลง สวรรค์บ้านนาคาราบาวได้บรรยายภาพของคนอีสานและสภาพการงานในกรุงเทพฯ ว่า จำใจมาหาเงินทอง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องพี่น้องในบ้านนา มุ่งสู่เมืองกรุงหลั่งไหลกันมา ลำบากกายาหวังมาหางานทำ ขายกำลังกายอยู่ในโรงงาน ขายบริการอยู่ในปั๊มน้ำมันบ้างขับแทกซี่ขี่ขับรับกัน รับส่งผู้โดยสารถึงจุดหมายปลายทาง ศิลปินก็ออกเต้นกินรำกิน ตระเวนทั่วถิ่นทั่วแคว้นแดนกันดาร บ้างออกร้านรวงริมสองข้างทาง ขายลาบก้อยอีสาน ขายข้าวเหนียวส้มตำ โอะโอโอะโอ๋...ทำไปเพราะความจำเป็น
               
ภาพลักษณ์คนงานอีสานในกรุงเทพฯ แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเป็นภาพลักษณ์นำเสนอจากมุมมองของใคร ภาพลักษณ์ในทางลบอาจจะไม่ค่อยได้รับการนำเสนอโดยตรงในเนื้อเพลง แต่ในเพลง เสี่ยวอีสานพูดแทนคนงานและคนอีสานว่า แบบไหน แบบไหน อยู่ไหนเขาก็เรียกไอ้เสี่ยว ว่าปั้นแต่ข้าวเหนียวจิ้มต่อนปลาร้า ซื่อสัตย์หาเลี้ยงชีวาก็ยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนเกียจคร้าน นาแล้งนาล่มจมอานจะเอาหัวกบาลที่ไหนทำกินล่ะ แบบไหน แบบไหน แบบนี้...เคียดเด๊ออย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์คนงานอีสานในเนื้อเพลงที่พูดด้วยเสียงสะท้อนแทนใจตัวเองนั้น เป็นภาพลักษณ์ในทางบวกและอุดมคติ แม้จะยากจน แต่พวกเขาก็ทำงานหนักด้วยความขยันขันแข็ง พยายามเก็บเงินส่งกลับบ้านด้วยสำนึกและความรับผิดชอบต่อครอบครัวของลูกผู้ชาย แม้จะลำบากแค่ไหนเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องสู้ อดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเงินติดตัวสักบาทก็ต้องทน ในเพลง จดหมายถึงพ่อ” (ไมค์ ภิรมย์พร) หนุ่มก่อสร้างเขียนถึงพ่อว่า จดหมายใบนี้เขียนที่ ก.ท.ม ส่งถึงพ่อ พ่อฉันที่อยู่บ้านนา ลำบากเหลือเกิน พ่อครับตั้งแต่ลูกมา พอตื่นลืมหูลืมตาก็ทำงานจนตัวเป็นเกลียว ก่อสร้างแบกหาม ลูกทำทุกอย่างเลยพ่อ สร้างทางฝังท่อไม่ท้อ เพราะเงินตัวเดียว เงินร้อยเงินพันดูมันหายากจริงเชียว บางครั้งต้องนั่งหน้าเซียวบาทเดียวไม่มีติดกาย ต้องพึ่งก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ กินอิ่มถึงบอกเงินออกก่อนนะจะจ่าย อย่าโกรธนะพ่อ ลูกพ่อไม่เคยโกงใคร ค่าแรงอยู่ที่เจ้านายเขายังไม่จ่าย นัดผิดบิดเบือนในยามเหงาเปล่าเปลี่ยวและในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับงานหนักในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต เช่น ลูกเรือตังเกในท้องทะเลที่มีแต่น้ำจรดฟ้า พวกเขาอาศัยเสียงแคนช่วยระบายความในใจช่วยผ่อนคลายความเหงาคิดถึงบ้าน ดังเนื้อเพลง เสียงแคนเสียงคลื่น” (ไมค์ ภิรมย์พร) ท่อนที่ว่า ตังเกแรมรอนนอนบนลำเรือ น้ำเค็มเหมือนเกลือ อาบเหงื่อแทนน้ำประปา จากบ้านมาไกล รอบกายคือน้ำกับฟ้า มีแคนที่พ่อให้มาเป็นเพื่อนชีวายามเหงา อวนยาวคาวปลาพบพาทุกวัน คลื่นลมโหมนาน หวาดหวั่นใจนั้นเหน็บหนาว ต้องยอมจำนนเพราะจนถึงทนปวดร้าว ฝันเห็นบ้านเรือนเคยเนาว์ คิดถึงบ้านเฮาเคยนอน
               
การทำงานต่างถิ่นของชายหนุ่มไม่ได้หมายถึงแค่การหาเงินช่วยเหลือครอบครัว แต่ยังหมายถึงคนรักและคำสัญญาที่จะหาเงินกลับไปแต่งงาน หญิงสาวคนรักที่อยู่ทางบ้านหรือที่พบกันในเมืองหรือในกรุงเทพฯ คือแรงบันดาลใจของชายหนุ่ม เขาและเธอพูดภาษาอุดมคติในการเก็บเงินเพื่อสร้างอนาคต หญิงสาวคนรักคือ ยาใจคนจน” (ครูสลา คุณวุฒิ ประพันธ์ ไมค์ ภิรมย์พร ขับร้อง) ความรักและแรงบันดาลใจเป็นการตอกย้ำอุดมคติความเป็นลูกผู้ชายที่ว่า เขาต้องทำงานหนักและทุ่มเทเพื่อหญิงคนรักและเพื่ออนาคต ในเพลง ขายแรงแต่งนาง” (ไมค์ ภิรมย์พร) บอกว่า สองมือคนจน จะทนเพื่อเจ้า เพื่อความรักสองเรา พี่ขอเอาหัวใจเดิมพัน เดินทางจากนามาขายแรงงาน หวังว่าสักวันฝันเราคงเป็นจริง ขอเอาแรงกายและใจมุ่งมั่น เสียเหงื่อเพื่อน้องทุกวัน เข้าทำงานขายแรงแย่งชิง เหนื่อยกายก็ทนเพื่อคนรักจริง ขอเพียงยอดหญิงอย่าทิ้งพี่ไปกลางคัน ความรู้ต่ำแรงงานก็ราคาถูก อดทนปนทุกข์ เดินบุกเดินลุยทุกวัน เปลี่ยนแรงเป็นเงินเผชิญกับความร้าวราน จะไปให้ถึงความฝัน ฝันถึงงานวันแต่ง...แม้จะน้อยอกน้อยใจว่า ความรู้ต่ำแรงงานก็ราคาถูกแต่ด้วยใจที่รักจริงและความมุ่งมั่นทำงานหนัก ชายหนุ่มพยายามให้กำลังใจตนเองและสร้างความเชื่อมั่นให้กับหญิงคนรักไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาคือ ไอ้หนุ่มก่อสร้างหวังแต่ง” (หนุ่มก่อสร้าง, พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ประพันธ์และขับร้อง) เนื้อเพลงของนักร้องลูกทุ่งฝ่ายหญิงจำนวนมากมักจะได้รับการนำเสนอในลักษณะที่ตอบสนองอุดมคติความรักและเพศสภาวะแบบปิตาธิปไตย (patriarchal gender ideology) ไม่แพ้กัน เช่น ในเพลง ปริญญาใจ” (ครูสลา คุณวุฒิ ประพันธ์ ศิริพร อำไพพงศ์ ขับร้อง) บอกว่า ได้ฮักกับอ้ายเหมือนใจได้ปริญญา ชีวิตของสาวบ้านนาวุฒิการศึกษามีน้อย ขาดโอกาสเรียนเพราะจนเป็นคนเลื่อนลอย โชคดีมีอ้ายเฝ้าคอยหยัดยืนให้โอกาสใจส่วนสาวบ้านไกลในเพลง ขอใจกันหนาว” (ต่าย อรทัย ขับร้อง) บอกความในใจว่า อยากมีพี่เลี้ยงเคียงข้างบนทางเปื้อนฝุ่น มอบใจอุ่นอุ่นกันหนาวกันท้อพอเพียง ยามเจ็บเห็นหน้ายามมีปัญหายืนเคียง ยามเหงาได้โทรฟังเสียงหล่อเลี้ยงหัวใจทุกคราวคนรักหรือแฟนก็คือ คนรู้ใจ คนที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือพร้อมที่จะเป็นคู่ชีวิต
               
อีสานตื่นกรุงและความทุกข์ยากเมื่อไกลบ้าน เรื่องเล่าในเนื้อเพลงเกี่ยวกับคนอีสานพลัดถิ่นก็คือ ความเจ็บปวดขมขื่นเมื่อต้องตกเป็น เป้าโจมตีของอคติและการดูถูกเหยียดหยามจากคนเมืองหลวงและคนต่างถิ่น คนอีสานถูกมองว่าเป็นคนต่ำต้อยล้าหลัง เป็นบักเสี่ยว บักสีเด๋อ เป็นลาวตาขาวหรือลาวตาแตก หรือเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศ ซึ่งอย่างดีก็เป็นได้แค่แรงงานชั้นต่ำของชาติเท่านั้น”  พวกเขาเป็น ประชากรที่ต่ำต้อยที่สุดในทางเศรษฐกิจ”  ในเพลง กลับอีสาน” (ครูคำปัน ผิวขำ ประพันธ์ ปอง ปรีดา ขับร้อง) ให้ภาพเมืองหลวงเมืองฟ้าจากมุมมองของคนอีสานพลัดถิ่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองว่า โอ้ว่าเมืองหลวง ตามร้านรวงงามทั้งปวงดั่งเขาว่า ไผได้ไปแล้วไม่อยากลา บ้านข้อยนั่นหนามีแต่ป่านาเขาในเพลง ทิดจ้อยปล่อยไก่” (ครูดาว บ้านดอน ประพันธ์และขับร้อง) เล่าถึงเส้นทางของแรงงานจากอีสานบ้านนาว่า นั่งรถทัวร์เข้าไปเมืองกรุง ออกจากบ้านทุ่งจะไปหางานทำ งานหนักงานเบาข้อยเอาทุกอย่าง หรืองานก่อสร้างขอแต่ให้เป็นงานบทสนทนาของ ทิดจ้อยกับผู้คนที่เขาได้พบ เช่น บัสโฮสเตส อาเฮียเถ้าแก่ร้านขายยา ล้วนบ่งบอกความเป็นคนอีสานตื่นกรุงและบ่งบอกถึงสภาพความเปิ่นเชยล้าสมัยของคนบ้านนอกเมื่อต้องเผชิญกับความทันสมัยของกรุงเทพฯ เมื่อรถพาทิดจ้อยเข้าเขตเมืองกรุง ทิดจ้อยก็เล่าว่า ถึงกรุงเทพฯ แสงไฟนวลจ้า ข้อยมองไปมาคือมาเป็นลายต่าง ผู้คนก็แยะรถราก็เยอะ ผู้คนก็เยอะรถราก็แยะ ข้อยเลยเดินแวะเข้าไปร้านขายยา
               
อาการตื่นกรุงของทิดจ้อย แท้ที่จริงก็คือ ตื่นตา ตื่นใจ และตื่นเต้นกับความทันสมัยแบบกรุงเทพฯ (ผู้คนก็เยอะ รถราก็แยะ) ทิดจ้อยหรือตัวแทนแรงงานผู้ชายในปลายทศวรรษที่ 2510 ซึ่งเป็นช่วงที่แรงงานผู้หญิงยังไม่ได้มุ่งหน้าเข้าสู่โรงงานในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลมากนัก ทิดจ้อยมีเพื่อนจากอีสานบ้านนอกพยายามเปลี่ยนโฉมตัวเองให้ทันสมัยเหมือน ไทกรุงเทพฯหลายคน เช่น บ่าวกึ่ม ผู้ไปทำงานกรุงเทพฯ นาน หรือ อยู่ไทยดลเลยดัดจริตลีมตัวเปลี่ยนชื่อเป็น สันติชัยเปลี่ยนภาษาพูดและการแต่งกายให้ทันสมัยแบบคนเมืองกรุง ต่อมาเมื่อแรงงานหญิงอีสาน ซึ่งนิยมทำงานบ้านในช่วงก่อนและหลังสงครามเวียดนามหันไปทำงานในสถานบริการทางเพศและในโรงงาน พร้อมกับผันเปลี่ยนตัวเองจาก นังแจ๋วไปเป็นฉันทนาอย่างเต็มตัวตั้งแต่ทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมา ผู้(เพิ่น)อยู่ไทยดลแบบบ่าวกึ่มก็คือ สาวหวึ่ง” (ครูสมัย อ่อนวงศ์ ขับร้อง) ผู้เปลี่ยนชื่อให้โก้เก๋ทันสมัยเป็น ติ๋มพร้อมกับการรับความทันสมัยแบบเมืองกรุงอย่างเต็มตัว ดังเนื้อเพลงท่อนที่ว่า สาวหวึ่งบ้านโดนหมาหว้อ หนีแม่หนีพ่อ หนีป้าหนีลุง ไปหาเฮ็ดการเฮ็ดงาน ล้างถ้วยล้างจาน อยู่ที่เมืองกรุง กลับบ้านเว้าลาวบ่เป็น ผู้บ่าวเห็นใส่เกิบส้นสูง ทำท่าคือคนในกรุง เดินโยกพุงโยกไปส่ายมาภาษาพูด ภาษาท่าทาง การแต่งกายและชื่อทันสมัยแบบกรุงเทพฯ เมื่อถูกนำกลับมายังอีสานบ้านนอกกลายมาเป็นเรื่องตลก เพราะชาวบ้านอีสานมองว่า คนหนุ่มสาวเหล่านั้น ลืมตัวออกจากบ้านไปไม่นานก็ลืมกำพืดหรือรากเหง้าของตนเอง ลักษณะเช่นนี้จึงมีทั้งความรู้สึกน่าละอายและขำขันระคนกันอยู่ในตัว

ตัวละครในเนื้อเพลงลูกทุ่งที่ถูกนำมาล้อเลียนเพราะลุ่มหลงความทันสมัยของเมืองกรุงมากกว่ารากเหง้าบ้านนอกของตนเองมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ เช่น อย่าขอหมอลำ” (ต้อย หมวกแดง ขับร้อง) ที่พยายามบอกว่าตัวเองเป็นคนทันสมัยชอบเพลงสมัยใหม่ เช่น ร็อค แร็พ ฮิปฮอพ ไม่ใช่หมอลำ ไม่คนอีสานทั้งๆ ที่ไม่อาจปฏิเสธรากเหง้าเดิมของตนเองได้ ในเพลง คุณลำใย” (ลูกนก สุภาพร ขับร้อง) สาวลาดพร้าวและ ดาวมหาลัย” (สาวมาด เมกะแดนซ์ ขับร้อง) ก็ล้วนแต่เป็นตำนานล่าสุดของสาวอีสานที่พยายามไปให้พ้นจากความเป็นอีสาน ความเชย หรือความเป็นคน บ้านน๊อก...บ้านนอกของตนเอง พวกเขาและเธอต้องตกอยู่สภาวะชายขอบของความทันสมัย เป็นชายขอบที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจเพราะด้านหนึ่งต้องสำนึกถึงกำพืดแบบบ้านนอกของตัวเอง ต้องรับผิดชอบหาเงินเลี้ยงครอบครัวและดูแลภาระทางบ้านที่บ้านนอก แต่อีกด้านหนึ่ง ความที่ต้องอยู่อาศัยและทำงานในเมืองพวกเขาและเธอถูกวัฒนธรรมบริโภคนิยมบีบให้วิ่งตามความทันสมัย ซึ่งด้วยกำลังเงินที่จำกัดและสถานภาพของชนชั้นผู้ใช้แรงงานในเมือง พวกไม่อาจจะจ่ายเงินซื้อสิ้นค้าและสัญลักษณ์ของความทันสมัยได้อย่างที่ใจปรารถนาทุกอย่าง พวกเขาและเธอจึงต้องต่อรอง ต่อสู้ดิ้น และถูกบีบให้เป็นคนชายขอบผู้มีชีวิตผูกพันหาหลักแหล่งที่แน่นอนไม่ได้ระหว่างชีวิตเมืองและชีวิตหมู่บ้านที่ห่างไกลออกไป

ไป(เมือง)นอก... ไปเสียนา มาเสียเมียหลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงและการถอนทหารอเมริกันออกจากประเทศไทย ศักราชใหม่ของการย้ายถิ่นแรงงานก็เริ่มต้นขึ้น แรงงานอีสานเริ่มเดินทางไปต่างประเทศในช่วงต้นทศวรรษที่ 2520 แรงงานผู้ชายมุ่งหน้าสู่ประเทศต่างๆ ในดินแดนตะวันออกกลางเพื่อทำงานก่อสร้างกลายมาเป็น นักรบแรงงานหรือ นักรบเศรษฐกิจใช้หยาดเหงื่อแรงกายแลกเงินตราต่างประเทศ ดูเหมือนว่า ทั้งลูกทุ่ง หมอลำ และเพลงเพื่อชีวิตต่างก็ได้ให้ความสนใจบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ การหลอกลวงแรงงานไปทำงานต่างประเทศปัญหาหนี้สิน และความล้มเหลวของชีวิตครอบครัวของแรงงานอีสานไปนอกอย่างกว้างขวาง ในเพลง “ 3 วันบินและ ซาอุฯ” (พรศักดิ์ ส่องแสง) ให้ภาพชะตากรรมคนงานอีสานถูกหลอก ความฝันที่ฟังทลายลง รวมทั้งความลำบากยากแค้นกับงานก่อสร้างกลางป่าทะเลทรายและความยุ่งยากในการปรับตัวให้เข้ากับประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง ในเพลง ซาอุดรคาราบาวบอกเล่าถึงความหวังและความล้มเหลวของคนอีสานกับการเดินทางไปขุดทองเมือง ซาอุฯแต่ถูกหลอกให้ขึ้นเครื่องบินไปลงที่ “(ซา)อุดรธานีว่า เขียนป้ายไปปักไว้บอกคนทั้งหลายว่าอยากขายที่นา นำทรัพย์สินเงินตราจากขายที่นาไปตีตั๋วเครื่องบินจะไปซาอุ... เบื่อทําไร่ไถนาทําได้มาไม่พอได้กิน กลัวลูกเก็บดินกินอย่างที่หนังสือพิมพ์เขาลง บอกเมียรอหน่อยหนา   อย่าเผลอใจไปมีชู้ จับได้เป็นน่าดู...จู้ฮุกกรูไม่นานน้องยา ซาอุดิจะแล้งจะร้อน ระอุปานใดอ้ายก็จะทนจะยอมอดเหล้าเอาเงินสะสม จะข่มจิตใจไม่เล่นไฮโล เชื่อพี่เถิดน้องพี่ไม่ได้ร้องเพลงหลอก จะเอาเงินใส่กระบอกหอบมาเป็นกระบุง ขนมาให้น้องฝากธนาคาร...คาราบาวเตือนพี่น้องผู้ใช้แรงงานหรือชาวไร่ชาวนา ผู้ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศทั้งหลายว่า คนหนอคน...ยิ่งจนยิ่งเจ็บยิ่งจนยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบ

การเดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นการลงทุนที่ เสี่ยงคนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าเป็นการ เสี่ยงโชคขุดทองถ้าโชคดีก็จะได้เงินทองร่ำรวยกลับมา คุ้มค่ากับหนี้สินและความเหนื่อยยากในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี เช่น เนื้อเพลง ทางเบี่ยงอย่าเสี่ยงเดิน” (ไมค์ ภิรมย์พร) ที่บอกว่า หนทางชีวิตมืดมิดเหลือหลาย มีแค่แรงกายไว้ขายแลกเงิน บางครั้งต้องเสี่ยงทางเบี่ยงก็ต้องเดิน เผื่อบังเอิญจะมีเงินกับเขาเสียทีแต่ในความเป็นจริง คนงานที่ไปทำงานต่างประเทศต่างก็รู้ในหัวอกดีว่า ภารกิจของเขานั้นเป็นการ เสี่ยงตายงานก่อสร้างและงานใช้แรงงาน โดยเฉพาะงานในต่างประเทศล้วนเป็นงานประเภท “3D” ที่พลเมืองของแต่ละประเทศเจ้าบ้านไม่ปรารถนาจะทำ เพราะอันตรายมีอุบัติเหตุสูง (dangerous) สกปรกเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (dirty) และเป็นงานใช้แรงงานขาดทักษะฝีมือแรงงานทั้งยังต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรีในสายตาของคนทั่วไป (degrading) สถานการณ์เหล่านี้ปรากฏในเนื้อเพลงลูกทุ่งหมอลำเป็นจำนวนมาก เช่น ลำล่องสิงคโปร์” (เดชา นิติอินทร์) เสียงสั่งจากไต้หวัน” (บุญชู บัวผาง) เสียงครวญจากไต้หวัน” (แดง จิตรกร) ควายไทยในสิงคโปร์” (ลูกแพร-ไหมไทย อุไรพร) เป็นต้น ส่วนแรงงานหญิงจากประเทศไทย โดยเฉพาะกรณีสาวไทยที่ทำงานขายบริการทางเพศ มักจะปรากฏตัวในเนื้อเพลงเกี่ยวกับสถานการณ์อันตรายและสะเทือนขวัญ เช่น สาวไทยฆ่าตัวตายในญี่ปุ่น ศพเจ้าลอยแขวนคอกับคาน ร่างส่งกลับมาห่อเป็นผ้ากระดูกวิญญาณ ได้กลับมาอยู่บ้านที่น้องนางได้สร้างไว้รอ” (โยโกฮามา, พงษ์สิทธิ์ คำภีร์) หรือกรณีสาวน้ำพองที่ไปขายตัวในญี่ปุ่น เสียงคนเล่ามาน้ำตาอ้ายไหล ว่าน้องขายตัวมั่วชาย เพราะถูกเขาลวงล่วงล้ำย่ำยีกายา ถูกมารแก๊งยากูซ่ามอยาน้องจนซีดเซียว” (คิดถึงสาวน้ำพอง, ไมค์ ภิรมย์พร)
สถานการณ์เสี่ยงชีวิตและความตายของคนงานไทยในต่างประเทศเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นข่าวในสื่อมวลชนและเป็นเรื่องเล่าในชีวิตประจำวันของชนบทอีสาน เหตุการณ์ที่รุนแรงและสะเทือนขวัญมากที่สุด น่าจะได้แก่ กรณีโรคไหลตายของแรงงานไทยในสิงคโปร์ ชาวบ้านอีสานจำนวนมากเชื่อว่าเป็นเพราะ ผีแม่หม้ายมาหลอกหลอนเอาวิญญาณของคนหนุ่มแน่นในวัยแรงงานไปเป็นสามี  ในขณะที่วงการแพทย์ก็ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า ทำไมคนงานที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยแต่ต้องมาเสียชีวิตอย่างไร้ร่องรอยโดยการ ไหลตายหรือเสียชีวิตขณะนอนหลับ ใน เต้ยไหลตายวงสามโทนเล่าเรื่องความน่าสะพรึงกลัวและวิตกกังวลของผู้ที่ยังอยู่ที่มีต่อเพื่อนคนงาน ลูกข้าวเหนียวต้องจากไปแบบ ร่วงผล็อยผล็อยปานใบไม้หล่นนอกจากนี้ ยังมีกรณีคนงานไทยกระทำผิดกฏหมายถูกลงโทษประหารชีวิตทั้งในสิงคโปร์และประเทศอื่นในตะวันออกกลาง ในกลอนลำภูไท แฟนตายอยู่สิงคโปร์” (พิกุล ขวัญเมือง) เสียงของหมอลำสาวภูไทท่านนี้คร่ำครวญอาดูรที่เธอต้องสูญเสียคนรักเพราะ สิงคโปร์มันฆ่าพี่เธอยังแสดงความห่วงใยให้พี่น้องคนงานอีสานระมัดระวังอย่าทำผิดกฏหมายบ้านเมืองในต่างประเทศ และอ้อนวอนให้พี่น้องอีสานกลับบ้าน กลับไปทำมาหากินอยู่กับถิ่นฐานบ้านเกิดมากกว่าออกไปตกทุกข์ได้ยากหรือเสี่ยงชีวิตในต่างแดน เพลง สิงคโปร์ของคาราบาววิพากษ์วิจารณ์สิงคโปร์ที่จับคนงานไทยเข้าเมืองผิดกฏหมายลงโทษเฆี่ยนตีและส่งลงเรือกลับบ้านว่าคิดถึงแต่ กำไรการค้า ไม่คำนึงค่ามนุษยธรรมอย่างไรก็ตาม ขวัญและกำลังใจเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับแรงงานอีสาน คนอีสานใช้ช่องทางวัฒนธรรม เช่น จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ แสดงความห่วงใยและให้กำลังใจจากคนทางบ้านสำหรับลูกหลานที่ต้องไปทำงานต่างถิ่น ครูเทพพร เพชรอุบลประยุกต์เอาบทสวดขวัญดังกล่าวไว้ในเพลงที่ชื่อว่า บายศรีแรงงานไทยไปสิงคโปร์และ บายศรีแรงงานไทยไปไต้หวันพิธีดังกล่าวจัดขึ้นแทบทุกครั้งที่ลูกหลานอีสานต้องเดินทางออกไปทำงานไกลบ้านหรือกลับมาเยือนถิ่นเกิดบ้านเก่า

ชีวิตแรงงานไปนอกมักจะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่า ไปเสียนา มาเสียเมียผู้ชายห่างบ้านห่างลูกเมียไปทำงานเมืองนอก ไหนจะเสี่ยงชีวิตทำงานก่อสร้างในต่างแดนด้วยความยากลำบากเพื่อหาเงินส่งทางบ้าน ไหนจะเสี่ยงกับความแตกแยกของครอบครัวเนื่องจากความห่างไกล ในหัวอกลูกผู้ชายทุกคนก็คือ ห่วงใยเมียรักที่อยู่ทางบ้าน เป็นกังวลและไม่ไว้ใจว่าเมียจะซื่อสัตย์รักษาจัดการเงินทองและพฤติกรรมทางเพศให้อยู่ในกรอบประเพณีและกฏหมายไม่ได้ กลอนลำ ลาเมียไปซาอุฯ” (ประสาน เวียงสีมา ลำ) พยายามจะบอกว่า ยอมเสียนา แต่ไม่ยอมเสียเมียและเพลง ลุยคูเวตของซูซู ระพินทร์ พุฒิชาติก็สั่งเสียเมียในทำนองเดียวกัน พวกเขาบอกเมียให้ดูแลลูกดูแลตัวเองอย่าไปคบชู้สู่ชาย เขาไปนอกจะยอมทนความเหนื่อยยากเพื่อหาเงินมาไถ่ที่นา เพื่อส่งเสียลูกเรียนและเพื่อความสุขสบายของคนในครอบครัว แต่ในกลอนลำ เมียป๋าเพราะซาอุ” (ครูสรเพชร ภิญโญ ประพันธ์ สมโภชน์ ดวงสมพงษ์ ลำ) และเพลง ควายไทยในสิงคโปร์” (ลูกแพรและไหมไทย อุไรพร ขับร้อง) มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยคำพร่ำรำพันและความคับแค้นในหัวอกของผู้ชายที่เมียหักหลังสวมเขาให้และผลาญเงินทองที่ส่งมาให้จนหมดสิ้น สมโภชน์ ดวงสมพงษ์ระบายความระทมขมขื่นเพราะทิ้งบ้านห่างลูกเมียไปทำงานที่ซาอุฯ อุตส่าห์ส่งเงินกลับบ้านมาจุนเจือครอบครัว แต่อนิจจา...กลับถูกเมียสวมเขาให้ เนื้อเรื่องในกลอนลำ เมียป๋าเพราะซาอุบอกเล่าความคับแค้นที่สุมแน่นอยู่ในหัวอกของลูกผู้ชายว่า 
ชีวิตเราเศร้าระทมขมขื่น ทุกวันคืนไม่มีวันจะเหือดหาย เมียเคยรักของพี่มากลับกลาย เสียดายแม่ช่อชบาไพร ใจเอ๋ยใจเจ้าช่างแปรเปลี่ยน พี่เคยเตือนเจ้าแล้วจำได้ไหม ว่าคนดีของพี่อย่าเปลี่ยนใจ ก่อนพี่ไปซาอุดิอาระเบีย เสียใจเด้เมียโตเป็นเมียเพิ่น เสียดายเงินให้เจ้าผัวได้ส่งมา บอกแล้วน่าว่าให้จ่ายเป็นทาง นางซ่างเอาชายมาจ่ายเงินให้เขาใช้ เขาเอาเงินแล้วยังเอาเมียของพี่ แม่นอิหลีพี่น้องเมียข้อยซ่างเป็น ใจโลดเต้นคันเว้าเรื่องเมียมา ซ่างบ่ตายซ้ำสา...ห่ากินผู้หญิงเอย
               
ฝ่ายเมียซาอุฯ หรือฝ่ายหญิงตกอยู่ในสภาพที่เป็นจำเลยของสังคม แต่พวกเธอไม่ใช่คนที่ไร้ปากเสียง เมียซาอุฯ ได้ออกมาประท้วงสังคมในกลอนลำเต้ยสลับเพลงที่โด่งดังในช่วงปลายทศวรรษที่ 2520 ชื่อว่า น้ำตาเมียซาอุฯ” (พิมพา พรศิริ ขับร้อง) เนื้อเพลงบรรยายถึงหัวอกของบรรดาแม่บ้านที่พ่อบ้านจากบ้านไปทำงานขายแรงที่ซาอุฯ และประเทศตะวันออกกลาง เธอบอกว่า คิดมาอุราช้ำหนัก ผัวรักไม่เคยส่งเงิน รู้ข่าวปวดร้าวเหลือเกิน เมื่อรู้ว่าเงินไม่มาถึงเมีย พ่อแม่ผัวรับเต็มที่ รับเงินจากพี่ที่ซาอุดิอาระเบีย ส่งมาให้ใช้กันนัวเนีย ส่วนลูกเมียนั่งเลียน้ำตา ก่อนไปใช้เงินเป็นก้อน ที่นาดอนก็เป็นของภรรยา เอาไปจำนองค่าประกันนายหน้า พอได้เหินฟ้าก็ทำท่าลืมเมียพิมพา พรศิริแก้ต่างให้กับผู้หญิงอีสานว่า เมียซาอุฯ ไม่ได้ชั่วทุกคน

3. “คึดฮอดบ้านบุญผะเหวดคือสิหลายความผูกพันระหว่างคนพลัดถิ่นกับบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเนื้อหาสำคัญของเนื้อร้องในเพลงลูกทุ่ง หมอลำ และเพลงเพื่อชีวิต คนพลัดถิ่นทั้งที่จากบ้านไปทำงานในเมืองและทำงานยังต่างประเทศล้วนแต่มีความรู้สึกผูกพันกับถิ่นฐานบ้านเกิด พ่อแม่พี่น้อง ลูกเมียและคนรัก คนอีสานพลัดถิ่นทั้งในอดีตและปัจจุบันมักจะนึกถึงบ้านในช่วงที่มีบุญตามเทศกาล ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ผู้คนได้พักผ่อนจากการงานในไร่นาและมีโอกาสร่วมทำบุญสนุกสนานในรอบปี อย่างไรก็ตาม สำหรับคนอีสานพลัดถิ่นไปทำงานต่างประเทศ คำสัญญา ความคิดถึง และกำลังใจมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในกลอนลำที่โด่งดังในทศวรรษที่ 2530 “คอยรักจากต่างแดนจินตรา พูนลาภรำพันถึงคนรักว่า วันอ้ายขึ้นเครื่องบิน บินไปจากเมืองไทย ไปตะวันออกกลาง ห่างกันเพราะจน ดิ้นรนต่อสู้ไม่ถอย น้องยังคอยทนได้ คอยเป็นกำลังใจ ให้พี่อยู่เสมอ คิดฮอดก็อยากไปหา อยากบินข้ามฟ้าไปเจอ แต่ก็เพียงละเมอพร่ำเพ้อรำพัน คอยแต่คืนแต่วัน อ้ายจะบินข้ามฟ้ากลับมาในกลอนลำ ห่วงพี่ที่คูเวตจินตรา พูนลาภวิตกกังวลว่าคนรักของเธอจะตกเป็นเชลยสงครามระหว่างอิรักกับคูเวตไปแล้ว หรือว่ามีแฟนใหม่ในต่างแดนไปแล้ว เธอแสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่า หากยังไม่ตายพี่ชายจดหมายส่งมา ห่วงพี่นักหนาข้าวปลากินไม่ลงเลย ไปอยู่คูเวตมีเหตุอะไรพี่เอ๋ย ไม่กลับมาเลย หรือลงเอยกับใครหรือยัง

สายใยแห่งความผูกพันระหว่างคนพลัดถิ่น ณ แดนไกลกับพ่อแม่หรือคนรักผู้อยู่ทางบ้านสื่อสารกันด้วยการฝากหรือส่งสื่อสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ ส่งใจ” “ฝากใจหรือ ให้กำลังใจกับ ฝากเงินหรือ ส่งเงินใจกับเงินเป็นสื่อสำคัญที่สุดในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางไกลและเสริมสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมมิติต่างๆ เพลงของนักร้องลูกทุ่ง หมอลำและเพื่อชีวิตจำนวนมากกว่าได้ตอกย้ำความสำคัญของใจ/กำลังใจกับเงิน เช่น ศิริพร อำไพพงศ์ ไมค์ ภิรมย์พร จินตรา พูนลาภ พี สะเดิด และต่าย อรทัย ต่างก็มีเพลงเอกที่ย้ำเน้นว่า คนพลัดถิ่นแสดงความผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอน คนรักและพ่อแม่พี่น้องทางบ้านด้วยการส่งเงินและส่งใจให้กันและกัน พวกเขาและเธอส่งเงินกลับบ้านเพื่อช่วยเหลือจุนเจือทางเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภค ส่วนการพูดคุย ถามไถ่ ส่งใจ ส่งรอยยิ้ม ส่งรูปถ่าย ส่งจดหมาย หรือข้อความทางโทรศัพท์มือถือเป็นการเชื่อมโยงความผูกพันในทางใจผ่านสัญลักษณ์และจินตนาการ ในเพลง ฝากใจใส่ซองกิตติศักดิ์ ไชยชนะบอกว่า ลูกส่งดวงใจมาให้แม่พร้อมเงินฝาก ถึงลูกลำบากแต่อยากให้แม่สบาย แม่อยู่ข้างหลังเบางานลงมั่งได้ไหม ห่วงว่าเกิดเป็นไรไป ลูกก็อยู่ไกลใครจะดูแลในเพลง เพื่อแม่แพ้บ่ได้” (ศิริพร อำไพพงศ์) คำสอนของแม่ยังอยู่ในใจของสาวแรงงานพลัดถิ่นจากอีสานเพราะว่าเธอ เขียนคำแม่สอนเป็นกลอนติดไว้ข้างฝา เลิกงานกลับมาอ่านทวนให้จำคำวอนเรียนรู้สู้งานอย่าลืมบ้านเกิดเมืองนอน ครอบครัวเรายังเดือดร้อนแม่พร่ำสอนก่อนไกลบ้านมาเงินที่แรงงานสาวหนุ่มส่งกลับบ้านเป็นทั้งสัญลักษณ์แทนความรักและความผูกพัน และกำลังทางเศรษฐกิจของครอบครัว แรงงานก่อสร้างไทยในสิงคโปร์ที่ผมมีโอกาสสัมภาษณ์แบ่งเงินรายได้ประมาณร้อยละ 70-80 ของเงินได้แต่ละเดือนเพื่อส่งกลับบ้านโดยการโอนเงินผ่านบริการส่งเงินของบริษัทเอกชนและโอนเงินผ่านธนาคาร พวกเขาตอกย้ำให้เห็นถึงภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัวต้องมาก่อนความสุขเล็กน้อยส่วนตัว พวกเขาเป็นผู้นำและกำลังหลักของครอบครัว ขณะเดียวกันก็การส่งเงินกลับยังเป็นการตอกย้ำความภาคภูมิใจในฐานะลูกผู้ชาย การที่ได้ส่งเงินกลับบ้าน เป็นอิหยังที่ผมรู้สึกภูมิใจหลายที่สุดในชีวิตหนุ่มก่อสร้างจากขอนแก่นเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจพองโตและใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ทั้งใจและเงินต่างก็มีพื้นฐานมาจากคำสัญญาหรือพันธะสัญญาต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายมอบไว้ให้แก่กัน ในเพลง โบว์รักสีดำ” (ศิริพร อำไพพงศ์ ขับร้อง) เล่าถึงความปวดร้าวของหญิงสาวที่ถูกหนุ่มลืมคำมั่นสัญญาอย่างประชดประชันว่า สัญญาไม่เป็นสัญญา ได้พบดอกฟ้าแล้วลืมดอกฟักทอง ไม่หันมาเหลียวเกี่ยวข้อง โบว์ผูกใจน้องเป็นโบว์รักสีดำในเพลง ทางเบี่ยงอย่าเสี่ยงเดิน” (ครูสลา คุณวุฒิ ประพันธ์ ไมค์ ภิรมย์พร ขับร้อง) ชายหนุ่มบอกว่า ลาพ่อลาแม่ลาแล้วทุกคน จะขอดิ้นรนหนีจนแล้วนอ แฟนสาวคนดีน้องพี่ช่วยรอ เก็บเงินได้พอจะมาขอนงเยาว์ในเพลง โทรหาแหน่เด้อและ กินข้าวหรือยัง” (ครูสลา คุณวุฒิ ประพันธ์ ต่าย อรทัย ขับร้อง) สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของโทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสารพูดคุย ถามไถ่บอกเล่าความห่วงใย ให้กำลังใจซึ่งกันและกันของคนรักที่ทำงานในเมืองด้วยกัน แต่ต่างที่ทำงานกัน ดังที่สะท้อนในเนื้อเพลงดัง 2 เพลงต่อไปนี้ เบอร์เก่าเวลาเดิมช่วยเติมเสียงให้ได้ยิน เป็นวิตามินสร้างภูมิคุ้มกันความเหงา บ่ได้ฟังเสียงคือจั่งบ่ได้กินข้าว คึดฮอดบวกกับความเหงานั่งเฝ้ามือถือคือบ้า” (โทรหาแหน่เด้อ) และ งานหนักบ่อ้าย เจ้านายใจดีอยู่บ้อ ค่าจ้างเคยขอ ได้ตามที่รอบ้างไหม สู้งานนานเนิ่น เหงื่อแลกเงินฟังแล้วเห็นใจ สุขภาพพลานามัย เป็นจังใด๋ห่วงใยเหลือเกิน” (กินข้าวหรือยัง) แน่นอนว่า รูปแบบและวิธีการฝากส่งเงินและส่งความห่วงใยทางใจย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามช่องทางการสื่อสารและการคมนาคมขนส่ง ซึ่งกำหนดโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสำคัญ

4. การกลับไปเยือนแต่ไม่ใช่การกลับไปอยู่ คนพลัดถิ่นกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นดีอกดีใจที่จะได้กลับคืนถิ่นเกิดบ้านเก่า ได้กลับไปหาอ้อมกอดของพ่อแม่พี่น้องและคนรักที่อบอุ่น แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็พกพาความกระอักอระอ่วนใจกลับไปด้วยทุกครั้ง การกลับบ้านเป็นมายาคติของคนพลัดถิ่น เพราะพวกเขาตระหนักดีว่า การย้ายถิ่นและการพลัดพรากเปรียบได้กับการเดินทางของสายน้ำ ไม่มีใครจุ่มเท้าลงไปในสายน้ำสายเดิมได้เป็นครั้งที่สอง เมื่อพวกเขากลับบ้าน ทั้งตัวคนพลัดถิ่นและผู้คนที่บ้านต่างก็มีชีวิตของตัวเอง วันเวลานำมาซึ่งความเป็นแปลงของทั้งสองฝ่าย คนพลัดถิ่นต่างก็ตระหนักดีว่า การกลับบ้านเป็นเพียงการกลับไปเยี่ยมยามเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ส่วนใหญ่ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างถาวรด้วยเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะหน้าที่การงาน คนพลัดถิ่นโดยเฉพาะแรงงานทั้งในและต่างประเทศต่างก็ต้องยืดเวลาทำงานเก็บเงินเก็บทอง สร้างตัว สร้างครอบครัว และอยู่อาศัยแบบไกลบ้านต่อไปอีก

คนพลัดถิ่นดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ใน 2 โลกระหว่างโลกที่เรียกว่า ถิ่นฐานบ้านเกิดกับโลกถิ่นที่อยู่ที่ทำงานปลายทาง การกลับบ้านเป็นเรื่องสมมติชั่วคราวพอๆ กับการทำงานและใช้ชีวิตในเมืองหรือต่างแดน พวกเขาและเธอไม่อาจจะบอกกับตัวเองได้อย่างสนิทใจว่า ที่ไหนคือบ้านที่แท้จริง ที่ไหนคือที่ที่พวกเขาและเธอได้ใช้พักกายพักใจในระยะยาว ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นโลกของความชั่วคราวและเป็นเงื่อนไขชีวิตที่พวกเขาและเธอไม่อาจเป็นคนบงการได้อย่างเต็มตัว ในเพลง กลับไปสงกรานต์บ้านนา” (ซูซู ระพินทร์ พุฒิชาติ ขับร้อง) และ สัญญาหน้าฮ้าน” (ครูสลา คุณวุฒิ ประพันธ์ ต่าย อรทัย ขับร้อง) ต่างก็บรรยายถึงบรรยากาศสนุกสนานช่วงกลับบ้านหน้าเทศกาล เพลงแรกเล่าเรื่องบรรยากาศการเดินทางว่า ตลาดหมดชิตรถติดซุปเปอร์ไฮเวย์ จะไปไหนกันเดินทางแบกถุงทะเล หยุดวันสงกรานต์สนุกสนานเมษาฮาเฮ ได้เที่ยวได้เตร่กลับบ้านอีสานบ้านนา หนึ่งปีมีครั้งหมู่เฮาได้พักหยดงาน อีสานเป็นล้านแรงงานคนหนุ่มสาว ไปเล่นสงกรานต์กราบไหว้คนแก่คนเฒ่า เมืองกรุงเงียบเหงาแต่โคราชมันอลวนส่วนเพลงหลังบอกว่า หน้าฮ้านหมอลำจำได้หรือเปล่า ลานวัดบ้านเฮาคืนบุญผ้าป่า เต้นกันโหง่ง้องฉลองการกลับนา หมู่เฮาสัญญาสิกลับมาทุกปี บุญแล้วจั่งหนีหากินเมืองใหญ่ แยกย้ายกันไปตามเส้นทางที่มี ทำงานไกลถิ่นหวังกินดีอยู่ดีหนึ่งครั้งหนึ่งปีมีนัดกันที่บ้านเฮาเนื้อเพลงเหล่านี้ได้เปิดเผยถึงมายาคติของคนพลัดถิ่น พวกเขามีบ้านอยู่ในใจ ในความคิดคำนึงและจินตนาการ แต่บ้านในความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ มีก็เหมือนไม่มีเพราะชีวิตพวกเขาอยู่ในท่ามกลางการเดินทางและการทำงานดิ้นรนเอาตัวรอดในสถานที่ที่ห่างไกลออกไป ซึ่งพวกเขามีสถานะเป็นเพียงแขกทั้งที่ได้รับเชิญหรือดิ้นรนไปหางานหาเงินด้วยตนเอง

ดนตรีอีสาน แรงงานอารมณ์ และคนพลัดถิ่น (Popular Music, Emotional Labor, and Isan Diaspora) ตอนที่ 5


พัฒนา กิติอาษา 



บทสรุป:
ดนตรีสมัยนิยมและสถาบันทางสังคมของคนอีสานพลัดถิ่น

ผมขอย้อนกลับไปหาโจทย์หลักที่ผมตั้งไว้ตอนต้นบทความ ทำไมดนตรีอีสานจึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและต่อเนื่องมายาวนานโดยเฉพาะในรอบ 40-50 ปีที่ผ่านมา และดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานกำลังบอกอะไรกับสังคมไทยในโลกยุคโลกาภิวัตน์ คำตอบที่ชัดเจนที่สุดต่อคำถามชุดนี้ก็คือ ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานประสบความสำเร็จค่อนข้างมากในการพัฒนาตัวเองให้กลายเป็น เรื่องเล่าร้อยกรองบันทึกอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการในระหว่างการเดินทางของคนไกลบ้าน” (emotional and musical/poetical narratives of people in their labor diaspora) และเป็น สถาบันทางสังคมของคนพลัดถิ่น” (migrant/diasporic institution) อย่างเต็มตัว เนื้อร้องและท่วงทำนองของเพลงดนตรีแนวอีสาน เช่น ลูกทุ่ง หมอลำ และเพลงเพื่อชีวิต จำนวนหนึ่งได้ถูกผลิตขึ้นและได้รับความนิยมอย่างมากในชุมชนคนพลัดถิ่นอีสานและผู้คนที่อยู่ติดถิ่นที่แต่มีความเกี่ยวข้องกับการเดินทางหรือการพลัดพรากถิ่นที่อยู่ด้วยเหตุผลต่างๆ คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินเลยความจริงมากนัก ถ้าจะบอกว่า ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานคือดนตรีที่ผลิตออกมารับใช้หรือขายให้กับผู้คนในวัฒนธรรมการพลัดถิ่น ทั้งที่เป็นถิ่นต้นทางและถิ่นปลายทาง ทั้งที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนและในเมืองหรือต่างประเทศที่เป็นที่ทำงานและที่พักพิงของคนพลัดถิ่นข้ามชาติข้ามแดน

ผมใช้คำว่า เรื่องเล่าร้อยกรองและ สถาบันทางสังคมของคนพลัดถิ่นในความหมายเชิงมานุษยวิทยาศึกษาคนพลัดถิ่นและแรงงานอพยพ ดนตรีสมัยนิยมเป็นเรื่องเล่าเชิงร้อยกรองที่สื่อสะท้อนอารมณ์และสะท้อนห้วงคิดคำนึงและจินตนาการของมนุษย์ในชะตากรรมของการพลัดพราก ดนตรีพูดกับคนฟังด้วยภาษากวี ดนตรีสมัยนิยม (ทั้งส่วนที่เป็นรสคำ รสความ ท่วงทำนอง และเสียงของตัวโน้ต) ช่วยยกระดับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันขึ้นเป็นภาพสะท้อนความคิดคำนึงและความเข้าใจชีวิตในระดับที่สูงขึ้นเป็นอุดมคติหรือลุ่มลึกด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบต่างๆ เช่น โหยหาอาวรณ์ โศรกเศร้าเสียใจ อิ่มอกอิ่มใจ ปลาบปลื้ม หรือตลกขำขัน ฯลฯ ในขณะที่สถาบันและความเป็นสถาบันสังคมย่อมเกิดจากรากฐานความสัมพันธ์ เครือข่าย และโครงสร้างทางสังคมในรูปแบบต่างๆ ในวัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมย่อมประกอบด้วยเครือข่ายของครูเพลง ศิลปิน นักดนตรี นายทุนหรือค่ายธุรกิจบันเทิงเป็นผู้รับผิดชอบในการผลิตสินค้าเพลงดนตรีทั้งหลายออกสู่ตลาด ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมของอีสานก็เติบโตและขยายตัวในท่ามกลางคลื่นขบวนของแรงงานอีสานพลัดถิ่นในฐานะที่เป็นสถาบันที่สำคัญของคนพลัดถิ่น ดนตรีสมัยนิยมได้เล่าเรื่องและสะท้อนเนื้อหาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับถิ่นฐานบ้านเกิด การเดินทางและความทุกข์ยากอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพลัดพราก ความคิดถึงผูกพัน และการเดินทางกลับไปเยือน

วัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมในฐานะที่เป็นสถาบันสังคมและตัวบทร้อยกรองบันทึกน้ำเสียงและท่วงทำนองของแรงงานอารมณ์ของผู้คนในสังคมโลกาภิวัตน์ ดนตรีสมัยนิยมทำงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนพลัดถิ่นและบรรดากองทัพแรงงานในลักษณะที่เป็นผู้กระทำการในหลายลักษณะ ได้แก่
ประการแรก ดนตรีสมัยนิยมอีสานทำหน้าที่ เล่าเรื่องสะท้อนภาพชีวิตและอารมณ์ความรู้สึกของคนพลัดถิ่นให้บรรดาคนพลัดถิ่นด้วยกัน และผู้คนที่อยู่ในเครือข่ายของการเดินทางพลัดพราก การไปใช้ชีวิตทำงานต่างถิ่น และการสื่อสารความผูกพันโหยหาอาวรณ์เพื่อเชื่อมโยงจินตนาการและความทรงจำเกี่ยวกับถิ่นฐานบ้านเกิดกับถิ่นปลายทางเข้าด้วยกัน ในที่นี้ ผมอ่านตัวบทเนื้อร้องและการแสดงดนตรีสมัยนิยมตามแนวทางของคลิฟฟอร์ด เกียร์ตซ์ (Clifford Geertz) ท่านได้ตีความนาฎกรรมการชนไก่ของผู้ชายชาวเกาะบาหลีว่า เป็น การอ่านทำความเข้าใจโลกของชาวบาหลีจากประสบการณ์ของชาวบาหลีเอง นาฎกรรมการชนไก่จึงเป็นเรื่องเล่าของพวกเขาที่พวกเขาเล่าให้ตัวเองฟัง” (a story they tell themselves about themselves)  เนื้อร้องและท่วงทำนองดนตรีสมัยนิยมอีสานทำหน้าที่ทั้งวิพากษ์วิจารณ์ บอกกล่าว ด่าทอ และปลอบประโลมชีวิตและชุมชนของผู้คนในสถานการณ์เดินทางและพลัดพราก ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานจึงเป็นการยกระดับและเปลี่ยนประสบการณ์มนุษย์แบบธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันให้อยู่ในมิติของคีตศิลป์ อันเป็นภาษาสื่อสารที่ทรงพลังและเร้าอารมณ์ตอบสนอง

ประการที่สอง ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานเป็นผลผลิตของและทำหน้าที่ในกระบวนการจัดการ แรงงานอารมณ์ในชีวิตประจำวัน” (everyday life emotional labor) ของผู้คนในวัฒนธรรมพลัดถิ่น มโนทัศน์แรงงานอารมณ์ในความหมายจากต้นฉบับของอาร์ลี่ ฮอกส์ไชลด์ (Arlie Hoschild) หมายถึง การจัดการการแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกผ่านสีหน้าท่าทางและภาษากาย ซึ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจนในที่สาธารณะ”  แรงงานอารมณ์เป็นเรื่องของการจัดการการแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกในสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ งานที่ทำ และบทบาทหรือสถานภาพทางสังคมของแต่ละคน แรงงานอารมณ์เป็นเรื่องจำเป็นในชีวิตประจำวันสำหรับทุกคน แต่ในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าหรือการทำงานรับใช้ต่างๆ รวมทั้งงานโรงแรม งานบ้าน งานให้บริการรักษาพยาบาล ฯลฯ พนักงานต้องพิถีพิถันเรื่องการใช้แรงงานอารมณ์มากเป็นพิเศษ ผมประยุกต์เอามโนทัศน์นี้มาใช้กับดนตรีในลักษณะที่ว่า ดนตรีเป็นหนึ่งในสื่อที่ผู้คนใช้ในการต่อรอง ระบาย หรือจัดการกับอารมณ์ของตนโดยเฉพาะในสถานการณ์พลัดถิ่นที่อยู่ห่างไกลบ้านเรือนและผู้คนที่ตนเองคุ้นเคย ดนตรีสมัยนิยมอีสานแท้ที่จริงเป็นดนตรีเพื่อชีวิตของคนพลัดถิ่นไกลบ้านไปทำมาหากินยังต่างถิ่นต่างแดน ท่วงทำนองของดนตรีอีสานเป็นท่วงทำนองของการสื่อสารที่ในบางอารมณ์คนพลัดถิ่นต้องการจะพูดกับตัวเองด้วยความน้อยใจในวาสนาและโชคชะตา พร่ำบ่นสนทนากับคนรอบข้าง ปลอบประโลมความเปลี่ยวเหงา หรือระบายภาวะความเก็บกดบีบคั้นของความทุกข์ทน ในบางอารมณ์ก็อยากจะสนุกสนานแบบคนบ้านนอกที่เคยมีชีวิตอยู่กับท้องไร่ท้องนาและวิถีหมู่บ้าน และในบางอารมณ์ก็อยากจะสื่อความในใจถึงใครสักคนที่อยู่แดนไกลทั้งที่เป็นคนรัก เพื่อนสนิท ลูกเมีย หรือพ่อแม่พี่น้อง

ประการที่สาม ดนตรีสมัยนิยมเป็นเครื่องมือต่อรองระยะห่าง (negotiating/rationalizing distance) ทั้งที่เป็นระยะห่างทางภูมิศาสตร์ ระยะห่างในความคิดฝันจินตนาการ และระยะห่างทางสังคม ดนตรีช่วยปลอบประโลมใจ แต่ดนตรีทำงานโดยการต่อรองผ่านเหตุผลในเรื่องเล่าของเนื้อร้องและการผลิตความหมายเชื่อมโยงเรื่องเล่าเข้ากับชุดประสบการณ์ชีวิตและจินตนาการของคนฟังหรือชมดนตรีแต่ละคน ชีวิตและชุมชนของคนพลัดถิ่น คนไกลบ้าน และคนเดินทางสัญจรจำเป็นต้องอาศัยเสียงเพลงและเสียงดนตรีที่พวกเขาและเธอคุ้นเคยขับกล่อมยามเหงา เร้าอารมณ์ให้ฮึดสู้ ร้องไห้หลั่งน้ำตามยามกลั้นไม่ไหว รวมทั้งผิวปากฮัมเพลงหรือกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะทำนองเพลงดนตรีที่ถูกใจ พลานุภาพของดนตรีทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อแต่ละคนได้ต่อรองและจัดการกับระยะห่างของพื้นที่และเวลาแล้ว อย่างน้อยก็ในสำนึกและจินตนาการของแต่ละคน

ประการที่สี่ ดนตรีสมัยนิยมเปิดพื้นที่ในการแสดงออกตัวตนที่หลากหลายและทับซ้อนของคนพลัดถิ่น ตัวตนโดยเฉพาะในส่วนที่ถูกกำกับโดยเพศสภาวะและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในสถานการณ์พลัดถิ่นมักจะถูกกดบังคับ หรือกดดันให้เผชิญกับสถานการณ์ชายขอบ ความเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคม และภาวะไร้อำนาจต่อรอง ในพื้นที่สาธารณะ เช่น ที่ทำงาน หรือที่ต่างๆ ที่คนพลัดถิ่นปรากฏตัว ในที่นี้ดนตรีทำงานเหมือนกับความคิดของโฮมิ บาบา (Homi Bhaba) ที่ว่า วัฒนธรรมเป็นยุทธวิธีเพื่อต่อสู้เอาตัวรอดทั้งในสถานการณ์ข้ามชาติและสถานการณ์ที่ต้องแปลความหมาย”  พวกเขาและเธอมักจะตระหนักรู้ถึงภาวะต่างๆ ข้างต้น พวกเขาและเธออาจขาดความมั่นใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง รวมทั้งเกิดความอึดอัดแปลกแยกทั้งในสถานการณ์ที่ตกเป็นคนแปลกหน้าและสมาชิกสังคมย่อยที่ตนเองคุ้นเคย ดนตรีสมัยนิยมจึงเป็นเครื่องมือและยุทธวิธีทางวัฒนธรรมชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเร้าให้ผู้คนเปิดเผยและผลิตซ้ำตัวตนทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และเพศสภาวะของคนพลัดถิ่นที่ชัดเจน ตัวอย่างสำคัญในที่นี้ ได้แก่ การใช้ดนตรีสมัยนิยมเป็นเครื่องมือหรือพื้นที่ประกาศความเป็นตัวของตัวเองทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของคนอีสานพลัดถิ่น ซึ่งแตกต่างและตอบโต้กับความทันสมัยแบบกรุงเทพฯ และทัศนะดูถูกเหยียดหยามต่างๆ ที่มีต่อคนเชื้อสายลาวในอีสานและต่อคำว่า ลาวโดยทั่วไป

ประการที่ห้า ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสสานช่วยเปิดเผย ประกาศยืนยันและตอกย้ำอัตลักษณ์วัฒนธรรมของตัวเองต่อโลกกว้าง ในกรณีของคนพลัดถิ่นส่วนใหญ่ ดนตรีทำงานในลักษณะที่เร่งเร้าและสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาและเธอโดยการเปิดเผยช่องทางของความเป็นไปได้ที่อนุญาตให้คนพลัดถิ่นพัฒนาลักษณะทวิลักษณ์ ของรูปการณ์จิตสำนึกและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม (double/split identity or consciousness)  ในกรณีคนพลัดถิ่นอีสาน พวกเขาเป็นคนอีสานหรือเป็นคนลาวในทางวัฒนธรรมและภูมิภาคนิยม แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาและเธอก็เป็นพลเมืองในสังกัดรัฐไทยได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกพลเมืองไทย ความคิดชาตินิยมแบบรัฐราชการไทย และความทันสมัยแบบไทยๆ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพฯ  พวกเขาและเธอภักดีต่อต้นสังกัดชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของตนเองควบคู่ไปกับภักดีต่อชุมชนชาติไทย ซึ่งตนเองเป็นพลเมืองโดยสมาชิกภาพอย่างเป็นทางการ พวกเขาและเธอใช้อัตลักษณ์ทั้งสองอย่างเป็นเสบียงสำคัญในการเดินทางข้ามชาติข้ามแดนและใช้ชีวิตแบบต่อสู้ดิ้นรนเสมือนเรือที่กำลังโครงเครงอยู่ในท่ามกลางคลื่นลมของกระแสโลกาภิวัตน์ ในแง่นี้ การทำความเข้าใจลักษณะทวิลักษณ์ที่ทับซ้อนของอัตลักษณ์อันเกิดจากการผลิต แลกเปลี่ยน และบริโภคดนตรีสมัยนิยมนั้น ช่วยเปิดโลกวิชาการโดยการปลดปล่อยวัฒนธรรมดนตรีออกจากพันธนาการของดินแดนหรือถิ่นที่และกรอบความคิดที่ยึดเอารัฐชาติและชาตินิยมเป็นศูนย์กลาง ชีวิตของดนตรีและผู้คนเดินทางข้ามชาติข้ามแดน ลื่นไหล หมุนเวียน และเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง

ครูสลา คุณวุฒิคือ ครูเพลงลูกทุ่งอีสานระดับแนวหน้าของวงการฟ้าลูกทุ่งเมืองไทย แนวดนตรีของครูสลาคือการจับจุดอารมณ์เหงาเปล่าเปลี่ยวและความท้อแท้ต่างๆ ของคนไกลบ้าน คนจากบ้านห่างเมืองไปทำงานย่อมคิดถึงและเป็นห่วงทางบ้าน อยากได้กำลังใจ อยากมีพลังในการต่อสู้ชีวิตส่วนตัว ชีวิตหน้าที่การงานในเมือง หรือต่างประเทศ ท่านบอกว่าเพลงดนตรีมีหน้าที่ตรงนี้ ให้กำลังใจ ปลอบประโลม สร้างรอยยิ้ม เติมแรงใจ เปลี่ยนความเปลี่ยวเหงา เศร้าสร้อย หรือความวิตกกังวลให้เป็นพลังในการต่อสู้ใช้ชีวิต สื่อเสียงเพลงก็น่าจะมอบกำลังใจและมอบสิ่งดีๆ ให้แก่กันและกัน  แง่คิดส่งท้ายที่ผมได้เรียนรู้จากครูสลา แล้วนำมาคิดใคร่ครวญต่อยอดก็คือ ดนตรีไม่เพียงแต่ใช้ปลอบประโลมความเหงาและว้าเหว่ หรือเร้าอารมณ์ให้มีพลังสู้กับงานและสู้กับชีวิต หากยังช่วยคนพลัดถิ่นสร้างและต่อรองความหมายทางวัฒนธรรมและจรรโลงความพยายามในการเชื่อมโลกของบ้านเกิดเมืองนอน ณ ถิ่นต้นทางกับโลกต่างแดน ณ ถิ่นปลายทาง ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากบรรดามิตรรักแฟนเพลงจำนวนมหาศาลมาอย่างยาวนานก็เพราะว่า แนวดนตรีดังกล่าวได้พัฒนาตัวเองให้กลายเป็น เรื่องเล่าร้อยกรองและ สถาบันสังคมที่ขายได้และกระแทกกระทั้นอารมณ์อ่อนไหวของคนพลัดถิ่นและคนผู้อยู่เบื้องหลังอีกเรือนแสนเรือนล้าน ดนตรีสมัยนิยมแนวอีสานให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการหล่อเลี้ยงสายใยชีวิต อัตลักษณ์ จินตนาการ และความทรงจำของคนอีสานพลัดถิ่นภายใต้บริบทของโลกยุคโลกาภิวัตน์และยุคสมัยแห่งการเดินทางข้ามชาติข้ามแดน

บรรณานุกรม

กลิ่นฟาง-ลอมฟืนคืนมนต์เพลงลูกทุ่ง”. 2542. ผู้จัดการรายวัน. 24 กุมภาพันธ์.
จารุวรรณ ธรรมวัตร. 2528. บทบาทของหมอลำต่อสังคมอีสานในช่วงกึ่งศตวรรษ. มหาสารคาม: สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม.

จินตนา ดำรงเลิศ. 2533. วรรณกรรมเพลงลูกทุ่ง. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ฐิรวุฒิ เสนาคำ, (บรรณาธิการ) 2549. เหลียวหน้าแลหลังวัฒนธรรมป๊อป. เอกสารวิชาการลำดับที่ 50. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.

นักเพลงลูกข้าวเหนียวรวมพลประท้วงนักเขียนซีไรท์ หยามหมิ่นเพลงลูกทุ่งอีสาน”. 2545. คมชัดลึก. 4 มีนาคม: 7.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2538. “เพลงลูกทุ่งในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย.ใน โขน คาราบาว น้ำเน่าและหนังไทย: ว่าด้วยเพลง ภาษา และนานามหรสพ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, หน้า 19-63.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2538. “คาราวานหรือคาราบาว: เหลา-สด-ไม่เนื้อ”. ใน โขน, คาราบาว, น้ำเน่าและหนังไทย: ว่าด้วยเพลง ภาษาและนานามหรสพ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, หน้า 64-77.
ธีระภาพ โลหิตกุล. 2541. ปฐมบทเพลงลูกทุ่งและเพลงเพื่อชีวิตไทย พ.ศ. 2480-2500. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โสมสาร.
พัฒนา กิติอาษา. 2545. คนข้ามแดน: นาฏกรรมชีวิตและการข้ามแดนในวัฒนธรรมอีสาน. วารสารสังคมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 15 (1): 109-166.
ไพบูลย์ แพงเงิน. 2534. กลอนลำ: ภูมิปัญญาของอีสาน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.
ไพวรินทร์ ขาวงาม. 2545. ผมจรรอนแรมจากลุ่มน้ำมูล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เนชั่น.
เลิศชาย คชยุทธ. 2538. ไทยลูกทุ่ง: ชีวิตและงานเพลงอมตะของเหล่าปรมาจารย์ ราชันและราชินีลูกทุ่ง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
วัฒน์ วรรลยางกูร. 2550. คีตกวีลูกทุ่ง ไพบูลย์ บุตรขัน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์.
วาณิช จรุงกิจอนันต์. 2539. ลูกทุ่ง โรงถ่าย นิยายรัก. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
วาณิช จรุงกิจอนันต์. 2543. “ลูกทุ่งตายแล้ว”. มติชนสุดสัปดาห์ 20, 1044 (21 สิงหาคม), หน้า 69.
แวง พลังวรรณ. 2545. ลูกทุ่งอีสาน: ประวัติศาสตร์อีสาน ตำนานเพลงลูกทุ่ง. กรุงเทพฯ: เรือนปัญญา.
ศิริพร กรอบทอง. 2547. วิวัฒนาการเพลงลูกทุ่งในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พันธกิจ.
สุจิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. 2548. ลาวดวงเดือน วังท่าเตียน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. 2548. “คำนำเสนอ ลาวดวงเดือน วังท่าเตียน”. ใน ลาวดวงเดือน วังท่าเตียน. สุจิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. 2532. ร้องรำทำเพลง: ดนตรีและนาฏศิลป์ชาวสยาม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
สุนารี ราชสีมา. 2551. มือถือไมค์ ใจร้องไห้. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เมโทรพับลิชชิ่ง.
สุริยา สมุทคุปติ์, พัฒนา กิติอาษา, นันทิยา พุทธะ, และเกษมศรี สิงห์คก. 2535. หนังประโมทัยอีสาน: การแพร่กระจายและการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรม. ขอนแก่น: ห้องปฏิบัติการทางมานุษยวิทยาของอีสาน, ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สุริยา สมุทคุปติ์, พัฒนา กิติอาษา, และศิลปกิจ ตี่ขันติกุล. 2540.  แต่งองค์ทรงเครื่อง: ลิเกในวัฒนธรรมประชาไทย. นครราชสีมา: ห้องไทยศึกษานิทัศน์, สาขาวิชาศึกษาทั่วไป, สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.
สุริยา สมุทคุปติ์, พัฒนา กิติอาษา, สถาพร อุ่นแดง, ปรีชา ศรีไชย, นัฐวุฒิ สิงห์กุล, และศิริพร ไชยเลิศ. 2544. คนซิ่งอีสาน: ร่างกาย กามารมณ์ อัตลักษณ์และเสียงสะท้อนของคนทุกข์ในหมอลำซิ่งอีสาน. นครราชสีมา: ห้องไทยศึกษานิทัศน์, สาขาวิชาศึกษาทั่วไป, สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.
Adorno, Theodor and Max Horkheimer. 2002. Dialectic of Enlightenment. Standord: Stanford University Press.
Baily, John and Michael Collyer. 2006. “Introduction: Music and Migration”. Journal of Ethnic and Migration Studies. 32 (2):167-182.
Bhaba, Homi. 1995. “Freedom’s Basis in the Interminate”. In The Identity in Question, edited by John Rajchman. New York: Routledge, pp. 47-61.
Braziel, Jana Evans and Anita Mannur. 2003. “Nation, Migration, Globalization: Points of Contention in Diaspora Studies”. In Theorizing Diaspora, edited by Jana Evans Braziel and Anita Mannur. Oxford: Blackwell Publishing, pp. 1-22.
Clifford, James. 1994. “Diaspora”. Cultural Anthropology. 9: 302-338
Cohen, Robin. 1997. Global Diasporas: An Introduction. London: University College London Press.
Geertz, Clifford. 1973. “Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight”. In The Interpretation of Cultures: Selected Essays. New York: Basic Books, pp. 412-453.
Hoschchild, Arlie. 1983. The Managed Heart: Commercialization of Human Feeling. Berkeley: University of California Press.
Jirattikorn, Amporn. 2006. “Lukthung: Authenticity and Modernity in Thai Country Music”. Asian Music 37, 1 (Spring/Winter):24-50.
Jirattikorn, Amporn. 1999. “Women, Modernity and Sexuality in the Contemporary Luktoong Song Genre in Thailand”. M.A., thesis, Southeast Asian Studies Programme, National University of Singapore.
Kirsch, Thomas. 1966. “Development and Mobility among the Phu Thai of Northeast Thailand.” Asian Survey. 6, 7: 370-378.
Kitiarsa, Pattana. 2008. “Thai Migrants in Singapore: State, Intimacy, and Desire”. Gender, Place and Culture 15, 6: 595-610.
Kitiarsa, Pattana. 2007. “Headnotes, Heartnotes, and Persuasive Ethnography of Thai Migrant Workers in Singapore”. Journal of the Mekong Society, Khon Kaen University 3, 1: 53-71. 
Kitiarsa, Pattana. 2006a. “Village Transnationalism: Cross-Border Identities among Thai Migrant Workers in Singapore.” ARI Working Paper Series No. 71 (Online Resource). November 2006. <http://www.ari.nus.edu.sg/docs/wps/wps06_071.pdf>
Kitiarsa, Pattana. 2006b. “Modernity, Agency, and Lam Sing: Interpreting ‘Music-Culture’ in Northeastern Thailand”. Crossroads: An Interdisciplinary Journal of Southeast Asian Studies 17 (2):34-65.
Lockard, Craig A. 1998. Dance of Life: Popular Music and Politics in Southeast Asia. Honolulu: University of Hawaii Press.
McCargo, Duncan and Krisadawan Hongladarom. 2004. “Contesting Isan-ness: Discourses of Politics and Identity in Northeast Thailand”. Asian Ethnicity. 5, (2):220-234.
McKeown, Adam. “Conceptualizing Chinese Diasporas, 1842 to 1949”. The Journal of Asian Studies. vol. 58, no. 2 (May 1999):306-337.
Merriam, Alan. 1964. The Anthropology of Music. Evanston: Northwestern University Press.
Mills, Mary Beth. 1995. “Attack of the Widow Ghosts: Gender, Death, and Modernity in Northeast Thailand.” In Bewitching Women, Pious Men: Gender and Body Politics in Southeast Asia. Aihwa Ong and Michael Peletz, eds. 244-273. Berkeley, University of California Press.
Mills, Mary Beth. 1997. “Contesting the Margins of Modernity: Women, Migration, and Consumption in Thailand.” American Ethnologist. 24, 1 (February):37-61.
Phillips, Herbert P. 1973. “Some Premises of American Scholarship on Thailand”. In Foreign Values and Southeast Asian Scholarship, edited by Joseph Fisher. Berkeley, California: Center for South and Southeast Asian Studies, University of California, pp. 64-81.
Safran, William. 1991. “Diaspora in Modern Societies: Myths of Homeland and Return”. Diaspora 1, 1: 83-84.
Siriyuvasak, Ubonrat. 1990. “Commercializing the Sound of the People: Pleng Lukthoong and the Thai Pop Music Industry”. Popular Music. 9, 1: 61-77.
Tololyan, Khachig. 1996. “Rethinking Diaspora(s): Stateless Power in the Transnational Moment”. Diaspora. 5, 1: 3-36.
Um, Hae-kyung. 2005. “Introduction: Understanding Diaspora, Identity and Performance”. In Diasporas and Interculturalism in Asian Performing Arts: Translating Traditions, edited by Hae-kyung Um. London: RoutledgeCurzon, 2005, pp. 1-13.
Winichakul, Thongchai. 1994.  Siam Mapped: A History of the Geo-body of a Nation. Honolulu: University of Hawaii Press.